"ธีระชัย" ห่วงเจรจาภาษีสหรัฐล่าช้า-ไม่โปร่งใส กระทบความเชื่อมั่นนักลงทุน ขณะที่ ส.ส.ภูมิใจไทยรุ่นใหม่ "ชลัฐ-สิริพงศ์" อัดทีมเจรจาไม่ทำการบ้าน ชี้เหลือเวลาแค่ 3 สัปดาห์ต้องเร่งแก้ ไม่งั้นไทยเสียโอกาสเทเวียดนามแน่

วันที่ 8 กรกฎาคม 2568 การตอบโต้ทางภาษีจากรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยในอัตรา 36% ได้กลายเป็นประเด็นร้อนในแวดวงการเมืองและเศรษฐกิจของไทย เมื่อนาย ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ออกมาเตือนรัฐบาลว่าไม่ควรปิดบังข้อมูลการเจรจา พร้อมชี้ว่าความล่าช้าและความไม่โปร่งใสในการบริหารจัดการเจรจาอาจส่งผลรุนแรงต่อเศรษฐกิจไทยในระยะยาว

นายธีระชัยระบุว่า ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม มาเลเซีย และอินโดนีเซีย สามารถต่อรองภาษีนำเข้าสหรัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ประเทศไทยกลับตกอยู่ในสถานะเสียเปรียบอย่างหนัก พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า รัฐบาลไทยยังใช้วิธีเจรจาแบบล้าสมัย เช่น การแลกซื้อสินค้า แทนที่จะตอบโจทย์นโยบายกีดกันทางการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อย่างชาญฉลาด

เขาย้ำว่า รัฐบาลควรเร่งเจรจาโดยเสนอ ลดภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ เป็นศูนย์ในบางรายการ พร้อมกับปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมภายในประเทศให้แข่งขันได้ โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอาหารสัตว์ที่ยังถูกผูกขาด เพื่อปกป้องเกษตรกรรายย่อย และรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจในระยะยาว

เสียงเตือนจาก “นิวเจน” ภูมิใจไทย : ทีมเจรจา “ไม่เก่ง” หรือ “ถูกครอบงำ”?
ด้าน นายชลัฐ รัชกิจประการ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย และกรรมการบริหารพรรค โพสต์เฟซบุ๊กแสดงความผิดหวังต่อทีมเจรจาของรัฐบาล โดยระบุว่า ไทยมีเวลาเตรียมตัวมากกว่า 2 เดือน แต่ไม่สามารถต่อรองลดภาษีจาก 36% ได้เลย ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างลาวและกัมพูชา ยังได้ลดภาษีลงถึง 6% และ 13% ตามลำดับ

เขาตั้งคำถามว่า “หรือว่าทีมเจรจาไม่เก่ง? หรือเก่งแต่ถูกฝ่ายการเมืองครอบจนทำอะไรไม่ได้?” พร้อมเตือนว่า หากไม่สามารถลดภาษีลงได้เหลือไม่เกิน 20% ภายใน 3 สัปดาห์ นักลงทุนต่างชาติจะหันไปเวียดนามแทนแน่นอน

“สิริพงศ์” อัดยับ! ทีมเศรษฐกิจไร้กลยุทธ์ – เสนอนโยบาย 4 ข้อรับมือแรงกระแทก
ขณะเดียวกัน นาย สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์อย่างตรงไปตรงมาว่า จดหมายตอบกลับของสหรัฐฯ ที่ส่งถึงรัฐบาลไทย มีถ้อยคำเป็นมิตรแต่เนื้อหาสะท้อนการกดดันชัดเจน แสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวของคณะเจรจาที่นำโดย นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง

เขาเสนอ 4 แนวทางเร่งด่วน ที่รัฐบาลควรดำเนินการ ได้แก่
ศึกษาแนวทางการเจรจาที่ประสบความสำเร็จของประเทศอื่น
เพิ่มความจริงจังในเจรจาอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการกับสหรัฐ
ทบทวนบทบาทและผลงานของกระทรวงคลัง-พาณิชย์ต่อการสนับสนุนภาคเอกชน
วางแผนสำรองหากรายได้รัฐหายจากภาษีนำเข้าและส่งออก เพื่อไม่ให้กระทบภาคธุรกิจ

เสียงสะท้อนชัด: เศรษฐกิจไทยจะพัง หากไม่มีความโปร่งใสและความกล้าหาญในการเจรจา

นักการเมืองทั้งรุ่นใหญ่และรุ่นใหม่ต่างสะท้อนเสียงเดียวกันว่า รัฐบาลต้อง “เปิดข้อมูล-เร่งต่อรอง-ไม่อ้างความลับ” เพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติ ไม่ใช่เพียงเพื่อเอื้อกลุ่มทุนหรือต่อรองเบื้องหลัง เพราะหากไทยยังคงอยู่ในสภาวะอับจนเช่นนี้ต่อไป อาจต้องจ่ายราคาแพงในรูปแบบของการสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้