เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2568 พลเอกทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในพื้นที่ชายแดน (ศอ.ปชด.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ว่า ขณะนี้มีการแบ่งพื้นที่ปฏิบัติการออกเป็น 2 โซนหลัก โดยเฉพาะในพื้นที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างเมียนมา ซึ่งเป็นฐานปฏิบัติการสำคัญของกลุ่มสแกมเมอร์

พลเอกทรงวิทย์ระบุว่า ล่าสุดมีการประชุม 3 ฝ่ายระหว่างไทย จีน และเมียนมา ที่ประเทศเมียนมา โดยฝ่ายไทยมีผู้แทนจากกระทรวงการต่างประเทศเข้าร่วม ขณะที่ฝ่ายจีนส่งนายหลิว จงอี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน และเมียนมามีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยร่วมประชุม ซึ่งที่ประชุมมีข้อตกลงร่วมกันในการเดินหน้ากวาดล้างขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างจริงจัง

ข้อมูลจากฝั่งจีนระบุว่า ในเขตฝั่งตรงข้าม อ.แม่สอด จ.ตาก ซึ่งอยู่ในพื้นที่เมืองเมียวดี มีประชากรในขบวนการมากถึง 50,000 คน โดยที่ผ่านมา ไทยสามารถผลักดันและส่งกลับผู้เกี่ยวข้องในขบวนการแล้วกว่า 8,000 คน ขณะเดียวกันทางเมียนมาเริ่มใช้กฎหมายในประเทศบังคับให้หลายบริษัทที่เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ยุติการดำเนินธุรกิจ และบางรายมีหมายจับจากต่างประเทศ

พลเอกทรงวิทย์ย้ำว่า ความพยายามกดดันผ่านมาตรการต่าง ๆ เช่น การตัดไฟ ตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ต และจำกัดน้ำมัน ได้ส่งผลให้กลุ่มเหล่านี้เริ่มเคลื่อนย้ายฐานปฏิบัติการไปยังฝั่งตะวันออกของเมียนมา ซึ่งไทยได้มอบหมายให้ “หน่วยเฉพาะกิจ 88” เข้าไปรับมืออย่างใกล้ชิด

ที่สำคัญ กลางเดือนกรกฎาคมนี้ ประเทศไทยเตรียมจัดตั้ง “หน่วยเฉพาะกิจนานาชาติ” เพื่อบูรณาการความร่วมมือระหว่างประเทศในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างเป็นระบบ โดยมีหน่วยเฉพาะกิจ 88 เป็นผู้แถลงรายละเอียดเพิ่มเติมในลำดับถัดไป

“ภัยจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ไม่ได้กระทบเฉพาะประเทศไทย แต่เป็นภัยระดับโลก บุคคลในขบวนการมีหลายสัญชาติ โดยเฉพาะในเมียนมา พบว่ามีชาวต่างชาติจากกว่า 20 ประเทศตกเป็นเหยื่อหรือติดอยู่ในขบวนการ จึงจำเป็นต้องร่วมมือกับนานาชาติอย่างจริงจัง” ผบ.ทสส. กล่าว

พลเอกทรงวิทย์แสดงความหวังว่า ความร่วมมือระหว่างไทย จีน และเมียนมา จะเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการสร้างภูมิภาคที่ปลอดภัย และเป็นการขจัดภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่ร้ายแรงที่สุดรูปแบบหนึ่งในยุคปัจจุบัน