เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2568    ที่อาคารรัฐสภา ดร.ณพลเดช มณีลังกา ที่ปรึกษาประธานคณะอนุกรรมาธิการครุภัณฑ์ ICT และทุนหมุนเวียนในคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 และที่ปรึกษาผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า

วันนี้ที่ประชุมคณะอนุกรรมาธิการครุภัณฑ์ ICT โดยมี นายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์ เป็นประธาน ได้พิจารณางบประมาณของเหล่าทัพ ประกอบด้วย 1) สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม 2) กองบัญชาการกองทัพไทย 3) สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ 4) กองทัพเรือ 5) กองทัพอากาศ และ 6) กองทัพบก

ดร.ณพลเดช กล่าวว่า สำหรับกองทัพ ที่ประชุมมีมติไม่ตัดลดงบประมาณ สำหรับกองทัพเรือ มีข้อคิดเห็นในคณะอนุกรรมาธิการว่า การจัดซื้อเรือฟริเกต (Frigate) จำนวน 1 ลำ ราคา 1.75 หมื่นล้าน อาจไม่คุ้มค่าต่อค่าใช้จ่ายในการลงทุน และมีแนวคิดให้กองทัพเรือเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพิ่มอีก 1 ลำ เป็นจำนวน 2 ลำ

ดร.ณพลเดช กล่าวว่า การพิจารณาความคุ้มค่า หากจะขอเรือฟริเกต (Frigate) มากกว่า 1 ลำขึ้นไป มีประเด็นที่ควรพิจารณาหลายด้าน ทั้งด้านงบประมาณ ประสิทธิภาพการใช้งาน และการดูแลรักษาในระยะยาว

1. หลักการปฏิบัติการทางเรือ เรือ 1 ลำ มักต้องสลับเข้าฐานเพื่อซ่อมบำรุงหรือพักกำลัง หากมีเพียงลำเดียว เมื่อมันต้องซ่อมหรือหยุดปฏิบัติงาน จะไม่มีเรือสำรอง การลาดตระเวนคุ้มกันพื้นที่ทะเล การซ้อมรบ หรือภารกิจเฉพาะกิจ มักต้องใช้มากกว่า 1 ลำเพื่อสนับสนุนกัน ถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินกับลำหนึ่ง จะยังมีอีกลำรับภารกิจต่อได้

2. ความคุ้มค่าทางงบประมาณ การจัดซื้อ 2 ลำขึ้นไปต่อครั้ง มักได้ราคาต่อหน่วยถูกลง เพราะลดต้นทุนการผลิตและส่งมอบ ระบบและอะไหล่จะใช้ร่วมกันได้ ทำให้บริหารจัดการง่ายขึ้นและประหยัดกว่า การฝึกบุคลากรสามารถใช้กับเรือหลายลำ ลดค่าใช้จ่ายการฝึกซ้ำซ้อน

3. ยุทธศาสตร์และความมั่นคง มีเรือหลายลำ หมุนเวียนปฏิบัติการได้ตลอดเวลา ครอบคลุมพื้นที่มากขึ้น สถานการณ์ฉุกเฉินหรือภัยคุกคามทางทะเล ต้องใช้กำลังมากกว่า 1 ลำ

ดร.ณพลเดช กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชา ที่กัมพูชาเปิดการยิงก่อน รวมถึงวางกับดักระเบิด เห็นว่าไม่ควรอ่อนข้อให้กับประเทศกัมพูชา กองทัพควรใช้ศักยภาพให้เต็มที่เพื่อรักษาอธิปไตยและแผ่นดินไทยอย่างเต็มที่ หากรบก็สมควรต้องรบเต็มที่