วันเสาร์ ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 19:17 น.

การเมือง

"รมว.ต่างประเทศ" เตรียมกลับถึงไทยคืนนี้ หลังร่วมประชุมยูเอ็น - ทูตไทยแจง UNSC กัมพูชารุกรานชายแดนไทย โจมตีไม่เลือกเป้า

วันศุกร์ ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2568, 15.09 น.

กระทรวงการต่างประเทศเผย รมว.มาริษ เตรียมเดินทางกลับถึงไทยคืนนี้ หลังเข้าร่วมประชุมระดับสูงของยูเอ็น ด้านผู้แทนถาวรไทยส่งหนังสือแจงคณะมนตรีความมั่นคงฯ ระบุการรุกรานจากกัมพูชาเริ่มจากทุ่นระเบิด ต่อเนื่องถึงการโจมตีพลเรือนโดยไม่เลือกเป้าหมาย ละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมสากล 

เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2568 ที่ทำเนียบรัฐบาล นางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศ และรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ในฐานะโฆษกศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) เปิดเผยว่า นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะเดินทางกลับถึงประเทศไทยภายในค่ำคืนนี้ หลังเสร็จสิ้นภารกิจเข้าร่วมประชุมระดับสูงด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน ประจำปี 2025 ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ (UN) ในนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา

ภายหลังเดินทางกลับ คาดว่า รมว.มาริษ อาจเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับการหารือกับตัวแทนประเทศต่าง ๆ รวมถึงท่าทีและจุดยืนของประเทศไทยต่อที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ซึ่งแม้จะไม่มีมติเป็นทางการ แต่ถือเป็นเวทีสำคัญในการเรียกร้องให้ยุติความรุนแรงบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา

ทูตไทยแจงละเอียดต่อ UNSC ชี้เขมรรุกล้ำดินแดน-โจมตีพลเรือน
ในวันเดียวกัน นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ในนครนิวยอร์ก ได้ส่งหนังสือถึงประธาน UNSC เพื่อแจ้งสถานการณ์อันร้ายแรงบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา โดยระบุว่า กัมพูชาได้ดำเนินการรุกรานทางทหารอย่างชัดเจนและต่อเนื่อง

ในหนังสือระบุว่า เมื่อวันที่ 16 และ 23 กรกฎาคมที่ผ่านมา ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิด PMN-2 ภายในเขตแดนประเทศไทย ส่งผลให้ทหาร 2 นายพิการถาวร และอีกหลายคนได้รับบาดเจ็บ ทุ่นระเบิดดังกล่าวอยู่ในสภาพใหม่ และมีเครื่องหมายที่ชัดเจน ซึ่งถือเป็นหลักฐานว่ามีการวางใหม่อย่างเจตนา ทั้งที่ไทยได้ทำลายคลังทุ่นระเบิดทั้งหมดตามพันธกรณีอนุสัญญาออตตาวาแล้วตั้งแต่ปี 2019 ขณะที่กัมพูชายังรายงานว่ามีการเก็บรักษาทุ่นระเบิดชนิดเดียวกันไว้

ต่อมาในวันที่ 24 กรกฎาคม เวลา 08.20 น. ทหารกัมพูชาเปิดฉากยิงใส่ฐานทหารไทยที่ตาเมือนธม จ.สุรินทร์ ก่อนจะขยายการโจมตีไปยัง 4 จังหวัดชายแดน ได้แก่ บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี โดยไม่มีการเลือกเป้าหมาย ทำให้พลเรือนเสียชีวิตแล้ว 11 ราย บาดเจ็บ 24 ราย (8 คนอาการสาหัส) และมีประชาชนกว่า 102,000 คนต้องอพยพ

โครงสร้างพื้นฐานพลเรือน อาทิ โรงเรียน โรงพยาบาล และบ้านเรือน ได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง การโจมตีครั้งนี้ยังละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอนุสัญญาเจนีวา ฉบับที่หนึ่งและสี่ ซึ่งห้ามการโจมตีต่อโรงพยาบาลและหน่วยงานช่วยเหลือผู้บาดเจ็บโดยเด็ดขาด

ไทยยืนยันไม่ใช้กำลัง แต่มีสิทธิ์ป้องกันตัว
หนังสือของเอกอัครราชทูตไทยยังระบุว่า การโจมตีที่เกิดขึ้นถือเป็นการละเมิดกฎบัตรสหประชาชาติอย่างร้ายแรง โดยเฉพาะมาตรา 2(4) ซึ่งห้ามการใช้กำลังระหว่างรัฐ ประเทศไทยยังคงยึดมั่นในหลักการแก้ไขข้อพิพาทโดยสันติวิธี แต่ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว ไทยจำเป็นต้องใช้สิทธิป้องกันตนเองตามมาตรา 51 ของกฎบัตรฯ โดยการตอบโต้ของไทยมีเป้าหมายเฉพาะต่อภัยคุกคามจากกองทัพกัมพูชาเท่านั้น

ไทยยังยืนยันความพร้อมที่จะกลับเข้าสู่กระบวนการเจรจาผ่านกลไกทวิภาคีที่มีอยู่แล้ว เช่น คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ซึ่งมีกำหนดประชุมต้นเดือนกันยายนนี้

ท้ายที่สุด เอกอัครราชทูตเชิดชายได้ขอให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเผยแพร่หนังสือดังกล่าวต่อสมาชิกทุกประเทศ พร้อมบันทึกเป็นเอกสารทางการของ UNSC โดยระบุว่า ความเงียบจากประชาคมโลกอาจหมายถึงการยินยอมให้เกิดการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง

 
 

หน้าแรก » การเมือง

ข่าวในหมวดการเมือง