วันพุธ ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2568 02:21 น.

การเมือง

"ศ.สุชาติ" เตือนรัฐบาล "ค่าเงินบาทแข็ง"  ฉุด ศก.ไทย แนะใช้นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนดันส่งออก-ท่องเที่ยว ฟื้นรายได้ประชาชน

วันอาทิตย์ ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2568, 14.29 น.

เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2568 ศาสตราจารย์ ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงผลการเจรจาภาษีการค้ากับสหรัฐอเมริกา หรือ “ภาษีทรัมป์” ว่า อัตราภาษีนำเข้า 19% ที่ไทยถูกจัดเก็บถือว่าอยู่ในเกณฑ์ยอมรับได้ และไม่เสียเปรียบประเทศเพื่อนบ้าน อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่สำคัญกว่าคือ “ค่าเงินบาทแข็งเกินไป” ซึ่งหากรัฐบาลไม่เร่งแก้ไขจะทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวยาก

ศ.ดร.สุชาติ ระบุว่า ปัจจุบันค่าเงินบาทแข็งกว่าสกุลเงินของประเทศคู่แข่งเกือบทั้งหมด เช่น แข็งกว่าเงินรูปีอินเดียถึง 2.58 เท่า และแข็งกว่าเงินด่องเวียดนาม 1.6 เท่า ส่งผลให้รายได้จากการส่งออกและการท่องเที่ยวลดลง ผลผลิตและ GDP ของประเทศเติบโตต่ำ ขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่ยากจนลง และหนี้ทั้งภาครัฐและครัวเรือนพุ่งสูงขึ้น

“ถ้าไม่ปรับค่าเงินบาทให้อ่อนลงในระดับที่แข่งขันได้ เศรษฐกิจไทยจะโตช้า ขาดเงินลงทุนด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ และประชาชนก็จะยิ่งลำบาก” อดีตรัฐมนตรีคลังกล่าว

เขาเสนอว่า รัฐบาลควรฟื้นการใช้ กองทุนรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยน และกำหนดนโยบาย “Exchange Rate Targeting” เช่นเดียวกับที่จีน ญี่ปุ่น สิงคโปร์ มาเลเซีย และเวียดนามนำมาใช้ เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ โดยไม่จำเป็นต้องกู้เงินเพิ่มเติม เพียงปรับสูตรให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงอย่างเหมาะสม ก็จะไม่ถูกโจมตีค่าเงินเหมือนวิกฤตปี 2540

ทั้งนี้ ศ.ดร.สุชาติชี้ว่า การกำหนดนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนมีผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) มากกว่านโยบายการเงินและการคลังเสียอีก พร้อมย้ำว่า ประเทศเล็กและเปิดกว้างทางเศรษฐกิจอย่างไทย ไม่ควรคุมเงินเฟ้อให้น้อยกว่าเงินเฟ้อโลก (เฉลี่ย 3-4%) เพราะจะทำให้เงินบาทแข็งต่อเนื่อง กระทบการส่งออก การผลิต และการจ้างงาน

“ญี่ปุ่นในทศวรรษ 1960 เกาหลีใต้ในทศวรรษ 1970 และจีนในทศวรรษ 1990 ต่างกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนให้แข่งขันได้ก่อน จนกลายเป็นประเทศพัฒนาแล้ว มีเทคโนโลยีสูง วันนี้ประเทศไทยก็ควรเดินตามแนวทางนั้น” ศ.ดร.สุชาติ กล่าวทิ้งท้าย
 

หน้าแรก » การเมือง