วันพุธ ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2568 04:26 น.

การเมือง

ครม.มีมติแต่งตั้ง "อุดมพร เอกเอี่ยม" รองเลขาธิการคณะรัฐมนตรี นั่ง ผอ.สำนักพุทธคนใหม่

วันอังคาร ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2568, 14.17 น.

 เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2568  ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี มติแต่งตั้งนางอุดมพร เอกเอี่ยม รองเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ซึ่งมีประสบการณ์ในตำแหน่งบริหารระดับสูง (ระดับ 10) มาตั้งแต่ปี 2560 ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (ระดับ 11) แทนตำแหน่งที่ว่างลง ทั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินงานของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ รองรับภารกิจที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น

วิเคราะห์มติคณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง “อุดมพร เอกเอี่ยม” ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติคนใหม่

ตามที่เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2568 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติแต่งตั้ง นางอุดมพร เอกเอี่ยม รองเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูง (ระดับ 10) ตั้งแต่ปี 2560 ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ระดับ 11 แทนตำแหน่งที่ว่างลง โดยมีเป้าหมายเพื่อให้การบริหารงานด้านพระพุทธศาสนาเป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

เหตุการณ์นี้มิใช่เพียงการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งในเชิงบุคคล หากยังสะท้อนถึง พลวัตของความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับพระพุทธศาสนา ตลอดจนการปรับตัวของกลไกทางราชการเพื่อรองรับภารกิจที่ซับซ้อนในยุคที่ศาสนากำลังเผชิญความท้าทายหลายประการ

1. บทบาทของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.)

พศ. ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2545 ภายใต้สำนักนายกรัฐมนตรี โดยมีหน้าที่หลักคือการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา ดูแลกิจการคณะสงฆ์ กำกับดูแลการใช้จ่ายงบประมาณทางศาสนา และเป็นตัวกลางเชื่อมโยงระหว่างรัฐกับคณะสงฆ์

อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พศ. ต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างต่อเนื่อง เช่น

ข้อถกเถียงเรื่องความโปร่งใสในการบริหารงบประมาณศาสนา

การกำกับดูแลวัดและพระสงฆ์ในกรณีอื้อฉาว

ความคาดหวังจากสังคมที่ให้ศาสนามีบทบาทตอบสนองต่อปัญหาสังคมยุคใหม่

ดังนั้น ผู้อำนวยการ พศ. จึงไม่ใช่เพียงผู้จัดการหน่วยงาน แต่เป็น “ผู้กำหนดทิศทาง” ของความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ–ศาสนาในเชิงนโยบาย

2. คุณสมบัติและประสบการณ์ของนางอุดมพร เอกเอี่ยม

การแต่งตั้งนางอุดมพร ซึ่งมีประสบการณ์ด้านการบริหารในตำแหน่งรองเลขาธิการคณะรัฐมนตรีมาตั้งแต่ปี 2560 แสดงให้เห็นว่า รัฐบาลมุ่งหวังให้ พศ. ได้รับการขับเคลื่อนโดยผู้ที่มี ความเชี่ยวชาญด้านนโยบายสาธารณะและการบริหารราชการแผ่นดิน มากกว่าการคัดเลือกจากสายงานพระพุทธศาสนาโดยตรง

ข้อได้เปรียบสำคัญของนางอุดมพรคือ

ความรู้ด้านโครงสร้างการทำงานของ ครม. และระบบราชการระดับสูง

ประสบการณ์การประสานงานเชิงนโยบาย ซึ่งจำเป็นต่อการเชื่อมโยง พศ. กับหน่วยงานอื่น

ศักยภาพในการจัดการกับภารกิจซับซ้อน โดยเฉพาะการปฏิรูปกลไกด้านศาสนาให้ตอบสนองต่อความโปร่งใสและความคาดหวังของสาธารณชน

3. นัยสำคัญเชิงโครงสร้างและนโยบาย

การเน้นความต่อเนื่องและประสิทธิภาพ – มติ ครม. ครั้งนี้มุ่งให้ พศ. เดินหน้าโดยไม่สะดุด ท่ามกลางสถานการณ์ที่พระพุทธศาสนาถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในสังคม

การส่งสัญญาณเชิงนโยบาย – การเลือกผู้บริหารที่มาจากระบบราชการกลาง สะท้อนว่ารัฐบาลต้องการ “วางระบบ” การกำกับพระพุทธศาสนาในกรอบความโปร่งใส มากกว่าการยึดโยงกับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งในคณะสงฆ์

การปรับตัวต่อความซับซ้อน – การบริหารศาสนาในปัจจุบันไม่ได้จำกัดแค่กิจการภายในวัด แต่ครอบคลุมประเด็นทางเศรษฐกิจ สังคม กฎหมาย และการเมือง ทำให้จำเป็นต้องมีผู้นำองค์กรที่มองภาพรวมได้กว้าง

4. ความท้าทายที่รออยู่ข้างหน้า

แม้การแต่งตั้งครั้งนี้จะสร้างความคาดหวัง แต่ผู้อำนวยการ พศ. คนใหม่ก็ต้องเผชิญความท้าทายสำคัญ ได้แก่

การสร้างกลไกตรวจสอบการใช้งบประมาณและการบริจาคอย่างโปร่งใส

การประสานระหว่างคณะสงฆ์กับรัฐในประเด็นอ่อนไหว

การตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยที่มีศาสนาความเชื่อหลากหลายมากขึ้น

การสร้างสมดุลระหว่าง “การอุปถัมภ์” และ “การกำกับดูแล” ศาสนา

ดังนั้น การแต่งตั้งนางอุดมพร เอกเอี่ยม เป็นผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในความสัมพันธ์รัฐ–ศาสนา โดยแสดงถึงการเน้นย้ำบทบาทของ ผู้บริหารสายราชการมืออาชีพ ในการขับเคลื่อนนโยบายด้านพระพุทธศาสนาในยุคที่เต็มไปด้วยความท้าทายและข้อกังขาเรื่องความโปร่งใส ความสำเร็จของการดำรงตำแหน่งครั้งนี้จะไม่เพียงส่งผลต่อภาพลักษณ์ของ พศ. เท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงความสามารถของรัฐไทยในการปรับตัวต่อการบริหารกิจการศาสนาในโลกสมัยใหม่

หน้าแรก » การเมือง