การเมือง
“ปลอดประสพ” วิเคราะห์ศึกเขมร ชี้ไทยชนะแล้ว 5 ด้าน เหลือโจทย์หินอีก 1
ติดตามข่าวด่วน กระแสข่าวบน Facebook คลิกที่นี่

ดร.ปลอดประสพ สุรัสวดี อดีตรองนายกรัฐมนตรี โพสต์วิเคราะห์ความคืบหน้ากรณีความขัดแย้งไทย–กัมพูชา ชี้ไทยชนะแล้ว 5 ด้าน ทั้งทางทหาร การทูต เศรษฐกิจ สื่อ และการประจานความชั่วของเขมร เหลือเพียงโจทย์ยากเรื่องสร้างความเชื่อมั่นในประชาชน
เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2568 ดร.ปลอดประสพ สุรัสวดี อดีตรองนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊กส่วนตัว "ดร.ปลอดประสพ สุรัสวดี" ความว่า ศึกเขมรชนะไปแล้ว 5 ด้าน เหลือโจทย์หินอีก 1
กรณีไทยกับเขมรขณะนี้ ไม่ว่าผมจะพูดว่า เป็นการ“ปะทะหรือทำศึก ” มันก็คือความหมายเดียวกัน เมื่อตรองดูขณะนี้ เรากำลังเผชิญอยู่ 6 ด้านพร้อมๆกัน ชนะก็มี เสมอก็มี และกำลังเพลี่ยงพล้ำก็มี ดังนี้
1. ทางการทหาร เราชนะแน่นอน เรายึดพื้นที่สำคัญทางยุทธศาสตร์ได้ 10 แห่งครึ่ง (ปราสาทตาควายได้ครึ่งเดียว) เราทำลายคลังอาวุธหลายแห่ง ทำลายรถติดจรวดหลายลำกล้อง ปืนใหญ่และรถถังได้จำนวนมาก เรื่องนี้ต้องรักษาสถานะเอาไว้ให้ได้ แต่สิ่งที่น่าสงสารคือ ทหารเขมรเสียชีวิตมากถึง 2,000-5,000 คน
2. ทางการทูต ในระยะยาวเราชนะแน่นอน เพราะความจริงมีหนึ่งเดียว แต่กระทรวงการต่างประเทศก็ต้องเร่งเครื่องหน่อย ปล่อยวางความเป็นสุภาพบุรุษหรือที่เขาประชดกันว่า ลดความเป็นพณฯ หัวเจ้าท่านลงบ้าง เราต้องทำทั้งแบบคู่คือทีละประเทศ ทั้งแบบหมู่ในองค์กรระหว่างประเทศในภูมิภาคและนอกภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ UN
3. ทางเศรษฐกิจ เราต้องยอมเจ็บในระยะต้น ต้องบีบให้เขาตายอย่างเขียด เขาค้าขายจริงๆได้แค่กับเราและเวียดนามเท่านั้น อย่าเพิ่งเปิดด่านง่ายๆ และที่สำคัญคือ กระทรวงพาณิชย์ที่มีความคิดจะไปขอให้ลาวส่งสินค้าจากไทยไปกัมพูชานั้น อย่าได้ทำเด็ดขาด เป็นความคิดที่เลอะเทอะ มีอย่างที่ไหนอยากได้เงินแต่กลับไปช่วยศัตรู
4. ทางด้านสื่อ สื่อไทยนั้นทุกคนรักชาติ แต่กับสื่อต่างประเทศต้องออกแรงและเผลอๆต้องเสียเงิน ซึ่งประเทศไทยก็ได้เปรียบเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว คือมีสื่อต่างประเทศใหญ่ๆ ตั้งอยู่ในเมืองไทยมากมาย ติดต่อกับเขาทุกวันสิครับ ส่วนเรื่องหลุดปากไปเชิญสื่อปลอมชาวอเมริกันที่ไปทำข่าวให้เขมรอยู่ในขณะนี้นั้น ผมว่าคิดผิด ที่ควรคือห้ามมันเข้าประเทศไทยจะดีที่สุด คนแบบนี้เชื่อไม่ได้ เชิญมันมาแล้วมันหักหลัง เราจะทำอย่างไร
5. ประจานความชั่วของเขมร เขมรไม่ยอมเจรจากับเราในเรื่องการกำจัดทุ่นระเบิดบุคคล และการปราบคอลเซ็นเตอร์และสแกมเมอร์ ที่หลอกคนไปทั่วโลก เราต้องทุ่มเทประณามให้เต็มที่ คนเขาเกลียดและช่วยประณามไปทั่วโลก ด่าซึ่งๆหน้าเลย ก่อนประชุมทุกครั้งบอกเขาให้ไปล้างมือ“เพราะอำมหิต มือเปื้อนเลือด” และให้ถามว่า อยากเป็นมาเฟียการพนันหรือไงจึงมีบ่อนเต็มบ้านเต็มเมือง และเป็นคนพุทธแบบไหนเที่ยวไปพูดปดหลอกคนเขาไปทั่ว
6. เรื่องสร้างศรัทธาและความเชื่อมั่นกับประชาชนของตัวเอง เรื่องนี้สำคัญมาก พูดตรงๆ ตอนนี้คนจำนวนมากไม่ไว้ใจค่อยไว้ใจรัฐบาล ควรทบทวนการพูด การแสดงออกทางสาธารณะเสียหน่อย รัฐบาลก็จะแก้ไขเรื่องนี้ได้
วันนี้ผมไปงานเลี้ยงเตรียมอุดมศึกษารุ่น 23 ไปกัน 30 คน รวมอายุได้ 2,400ปี เราร้องเพลงปลุกใจสมัยคุณหลวงวิจิตรวาทการกันตลอด กรณีผมได้ปรารภว่า จะซื้อทุ่นระเบิดเขมรลูกละ 10,000 บาท ก็มีคนอยากร่วมลงขันด้วย คนไทยรักชาติทุกคนครับ รัฐบาลต้องใช้ความรักเหล่านี้เป็นฐาน เรามีกัน 67 ล้านคน เราคิดเหมือนกันอยู่แล้ว เพียงแต่ดันคิดคนละเวลา คนละทิศทาง และคนละมุมมอง รัฐบาลจึงต้องทำตัวเป็นวาทยากร (Conductor)ที่สามารถผสมผสานเนื้อเพลงและดนตรีแห่งความรักให้ไปในทิศทางเดียวกัน เราก็จะชนะแน่นอน
อย่างไรก็ตามจากแนวคิดของ ดร.ปลอดประสพ สุรัสวดี ที่เสนอเป็นแนวทางให้กับรัฐบาลไทยในการสร้างความเชื่อมั่นในประชาชนจากกรณีศึกษาเขมร สามารถวิเคราะห์ได้ผลเป็นข้อเสนอแนะดังนี้
สถานการณ์ความขัดแย้งไทย–กัมพูชาในช่วงปี 2568 ได้สะท้อนความท้าทายหลายมิติ ทั้งทางการทหาร การทูต เศรษฐกิจ การสื่อสาร และประเด็นสิทธิมนุษยชน ขณะเดียวกัน ดร.ปลอดประสพ สุรัสวดี อดีตรองนายกรัฐมนตรี ได้วิเคราะห์ว่า ประเทศไทยสามารถสร้างความได้เปรียบใน 5 มิติแล้ว ได้แก่ การทหาร การทูต เศรษฐกิจ สื่อ และการประจานความไม่ชอบธรรมของกัมพูชา แต่ยังเหลือโจทย์สำคัญที่ยากที่สุดคือ การสร้างความศรัทธาและความเชื่อมั่นในประชาชนของตนเอง
ประเด็นนี้สะท้อนว่า แม้ชัยชนะในเวทีระหว่างประเทศและสมรภูมิอื่น ๆ จะชัดเจน หากประชาชนยังไม่มั่นใจในรัฐบาล ความมั่นคงทางสังคมและการเมืองก็อาจสั่นคลอนได้ บทความนี้จึงมุ่งวิเคราะห์แนวทางที่รัฐบาลไทยควรใช้เพื่อสร้างความเชื่อมั่นจากกรณีศึกษาเขมร โดยอ้างอิงทั้งข้อเสนอของดร.ปลอดประสพและหลักการเชิงนโยบายสาธารณะ
1. ความท้าทายด้านความเชื่อมั่นของประชาชน
วิกฤตศรัทธา: ภายใต้สถานการณ์ความขัดแย้ง ประชาชนบางส่วนไม่ไว้วางใจต่อการสื่อสารและการแสดงออกของรัฐบาล
ความแตกต่างของการรับรู้: คนไทย “รักชาติ” เหมือนกัน แต่มีมุมมองและเวลาในการตีความต่างกัน จึงเกิดความไม่เป็นเอกภาพ
ความเสี่ยงด้านเสถียรภาพการเมือง: หากไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นได้ อาจนำไปสู่แรงกดดันทางการเมืองและกระทบต่อการกำหนดนโยบายในอนาคต
2. มิติแห่งชัยชนะ 5 ด้าน: บทเรียนต่อการสร้างความเชื่อมั่น
ด้านการทหาร: การครองพื้นที่ยุทธศาสตร์และความได้เปรียบเชิงกำลังเป็นปัจจัยเสริมความมั่นใจของประชาชน แต่ต้องสื่อสารอย่างโปร่งใสเพื่อไม่ให้ถูกมองว่าเป็น “ชัยชนะเชิงตัวเลข” ที่ไม่สะท้อนชีวิตจริง
ด้านการทูต: การสร้างเครือข่ายทั้งในระดับประเทศและองค์การระหว่างประเทศ สะท้อนภาพลักษณ์ไทยในฐานะประเทศที่ยึดมั่นในกติกาสากล สิ่งนี้สามารถนำมาใช้เป็น “ทุนความชอบธรรม” ที่สร้างศรัทธาภายใน
ด้านเศรษฐกิจ: แม้ประชาชนต้อง “เจ็บระยะสั้น” จากการปิดด่านหรือจำกัดการค้าชายแดน แต่หากรัฐบาลชี้ให้เห็นประโยชน์ระยะยาว และมีมาตรการรองรับผลกระทบ จะช่วยเสริมความเข้าใจและความเชื่อมั่นได้
ด้านสื่อสารมวลชน: การใช้สื่ออย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการเข้าถึงสื่อต่างประเทศ สามารถสะท้อนความจริงและสร้างแรงหนุนระหว่างประเทศ พร้อมกับใช้สื่อภายในเพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน
ด้านการเปิดโปงความไม่ชอบธรรมของกัมพูชา: การเน้นให้โลกเห็นภาพ “เขมรละเมิดสิทธิมนุษยชน” เช่น คอลเซ็นเตอร์ การค้ามนุษย์ และทุ่นระเบิด นอกจากสร้างแรงกดดันภายนอกแล้ว ยังเสริมความภูมิใจให้ประชาชนว่าไทยยืนอยู่ฝ่ายธรรม
3. แนวทางสร้างความเชื่อมั่นในประชาชน
3.1 การสื่อสารและภาพลักษณ์ผู้นำ
รัฐบาลต้องปรับโทนการสื่อสาร ลดภาษาการเมืองที่ซับซ้อน ใช้ภาษาที่เข้าถึงง่ายและสร้างแรงบันดาลใจ
ผู้นำควรแสดงบทบาท “วาทยากร” (Conductor) ที่สามารถผสมผสานความรักชาติของประชาชนทุกกลุ่มให้เดินไปในทิศทางเดียวกัน
3.2 การใช้ทุนทางวัฒนธรรมและความรักชาติ
นำ “บทเพลงปลุกใจ” หรือสัญลักษณ์ทางประวัติศาสตร์มาใช้เป็นพลังสร้างความสามัคคี
จัดกิจกรรมที่ทำให้ประชาชนรู้สึกมีส่วนร่วม เช่น การระดมทุนช่วยเหลือทหาร การรณรงค์ต่อต้านทุ่นระเบิด
3.3 การเชื่อมโยงกับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
การบริหารเศรษฐกิจและงบประมาณภายใต้หลักพอประมาณ มีเหตุผล และมีภูมิคุ้มกัน จะช่วยให้ประชาชนมั่นใจในความมั่นคงทางการคลัง
ตัวอย่างเช่น การบริหารงบประมาณปี 2569 ต้องชี้ให้เห็นว่าเป็นไปเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ไม่ใช่เพียงแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
3.4 การสร้างกลไกการมีส่วนร่วม
เปิดพื้นที่ให้ภาคประชาชน องค์กรท้องถิ่น และภาคเอกชน เข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาความขัดแย้งและการพัฒนานโยบาย
การมีส่วนร่วมจะทำให้ประชาชนรู้สึกเป็น “เจ้าของ” ประเทศอย่างแท้จริง
ดังนั้น การสร้างความเชื่อมั่นของประชาชนต่อรัฐบาลไทยจากกรณีศึกษาเขมร ไม่ใช่เพียงการสื่อสารเชิงกลยุทธ์ แต่เป็นกระบวนการที่เชื่อมโยง ชัยชนะภายนอก เข้ากับ ความมั่นคงภายใน การใช้บทเรียนจาก 5 มิติที่ไทยมีความได้เปรียบ ผนวกกับการพัฒนากลยุทธ์สื่อสาร การยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง และการสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน จะเป็นกุญแจสำคัญให้รัฐบาลสามารถเสริมสร้างศรัทธา ความไว้วางใจ และความเป็นเอกภาพในชาติได้อย่างยั่งยืน
ติดตามข่าวด่วน กระแสข่าวบน Facebook คลิกที่นี่
หน้าแรก » การเมือง
Top 5 ข่าวการเมือง ![]()
- ครม.มีมติแต่งตั้ง "อุดมพร เอกเอี่ยม" รองเลขาธิการคณะรัฐมนตรี นั่ง ผอ.สำนักพุทธคนใหม่ 19 ส.ค. 2568
- กรมปศุสัตว์เปิดตัว VaxHub และวัคซีนออโตจีนัส IBH ยกระดับการควบคุมโรคสัตว์ด้วยดิจิทัล 19 ส.ค. 2568
- ศูนย์พุทธศาสตร์ฯ อยุธยา ร้อง "วิสาร" ผช.รมต.มหาดไทย" สอบโครงการเขื่อนกันตลิ่งหวั่นศาสนสถานพังถล่ม 19 ส.ค. 2568
- มท.2 ได้รับมอบหมายจาก "ภูมิธรรม" เข้าเฝ้าเยี่ยมพระอาการของสมเด็จพระสังฆราช 19 ส.ค. 2568
- แม่ทัพภาคที่ 2 บอกดี! เขมรป่วนคณะสังเกตการณ์ชั่วคราวฯ ลงพื้นที่ช่องอานม้า 19 ส.ค. 2568
ข่าวในหมวดการเมือง ![]()
พลังประชารัฐจี้รัฐบาลดำเนินคดี “ไมเคิล อัลฟาโร” ชี้บิดเบือนข้อมูลใส่ร้ายประเทศไทย กระทบความมั่นคงร้ายแรง 20:00 น.
- ศบ.ทก. เตือนประชาชน–สื่อมวลชน ระวังข่าวปลอมจากกัมพูชา ชี้เป็นการละเมิดข้อตกลง GBC 19:44 น.
- กระทรวงยุติธรรมผนึกกำลังทลายเครือข่ายยาเสพติดชายแดนใต้ ยึดไอซ์ล็อตใหญ่ 19:37 น.
- "วิสาร" ร่วมคณะทูต 33 ประเทศ ลงพื้นที่ศรีสะเกษ ติดตามเก็บกู้ทุ่นระเบิดชายแดนไทย–กัมพูชา 19:21 น.
- มหาดไทยปลื้ม OTOP ศิลปาชีพ ประทีปไทย 2025 ครบ 7 วัน เงินสะพัดกลับถึงชุมชนแล้วกว่า 584 ล้าน 19:06 น.