เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2568 นายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินโครงการทุ่งกุลาร้องไห้ และการดำเนินงานของสถานีพัฒนาที่ดินร้อยเอ็ด พร้อมรับฟังบรรยายโครงการเพิ่มศักยภาพการผลิตข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้สู่มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ โดยมีผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วม ณ สถานีพัฒนาที่ดินจังหวัดร้อยเอ็ด (ทุ่งกุลาร้องไห้) ต.สระคู อ.สุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมพัฒนาที่ดิน ได้ดำเนินโครงการ/กิจกรรมต่าง ๆ ภายใต้โครงการพัฒนาพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ ได้แก่ งานด้านปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน งานปรับปรุงบำรุงดิน การพัฒนากลุ่มเกษตรกร และการติดตามประเมินผล 
       
สำหรับผลสำเร็จในการดำเนินโครงการ มีการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน ประกอบด้วย งานสำรวจและจัดทำแผนที่ภูมิประเทศและสำมะโนที่ดิน มาตราส่วน 1 : 4,000 กิจกรรม งานจัดระบบอนุรักษ์ดินและน้ำ ทำให้เกษตรกรได้โครงสร้างพื้นฐานที่ได้ใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถลดการชะล้างพังทลายของหน้าดิน ลดการสูญเสียธาตุอาหารพืชในดิน ดินมีความชุ่มชื้น สามารถกักเก็บน้ำได้มากขึ้นและยาวนานกว่าเดิม เกษตรกรสามารถบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ตนเองได้ ทำให้ผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้น ลดต้นทุนการผลิต มีรายได้เพิ่มขึ้น อีกทั้งยังมีการปรับปรุงพื้นที่นา (Land Remodelling) ได้แก่ กิจกรรมงานปรับระดับพื้นที่นาให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ (Land Leveling) กิจกรรมก่อสร้างงานจัดทำระบบอนุรักษ์ดินและน้ำ และกิจกรรมงานบำรุงรักษาระบบอนุรักษ์ดินและน้ำ ได้ดำเนินงานครอบคลุมในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ จำนวน 954,053 ไร่ ผลประโยชน์ที่เกษตรกรได้รับคือการบรรเทาสภาวะน้ำท่วม และสามารถระบายน้ำออกจากพื้นที่นาข้าวได้ภายใน 3 วัน ทำให้ผลผลิตลดความเสียหายลงได้ สามารถปลูกข้าวหอมมะลิที่มีคุณภาพสูงเป็นที่ต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ 

นอกจากนี้ โครงการปรับปรุงพื้นที่นา ยังมีกิจกรรมที่เพิ่มแหล่งน้ำผิวดิน โดยมีแหล่งน้ำขนาดเล็ก สระน้ำในไร่นานอกเขตชลประทาน แหล่งน้ำชุมชน การขุดลอกลำน้ำธรรมชาติ หนองน้ำ ทำให้เกษตรกรสามารถใช้แหล่งน้ำที่มีอยู่กับพืชชนิดอื่น ๆ และใช้เพื่อการสาธารณูปโภคพื้นฐานได้ อีกทั้งยังบรรเทาสภาวะฝนแล้งด้วย

“แนวทางการพัฒนาทุ่งกุลาร้องไห้ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2514 โดยมุ่งแก้ไขปัญหาในเรื่องภัยแล้งในเนื้อที่กว่า 2 ล้านไร่ ซึ่งจะต้องพัฒนาในเรื่องของแหล่งน้ำ โดยปัจจุบันสามารถแก้ไขไปได้กว่า 9 แสนไร่ แต่ยังคงต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวไม่สามารถสร้างแหล่งน้ำขนาดใหญ่ได้เนื่องจากเป็นพื้นที่ราบ จึงต้องหาพื้นที่สาธารณะในการขุดแก้มลิงขนาดใหญ่ โดยมอบหมายให้กรมพัฒนาที่ดินบูรณาการร่วมกับกรมชลประทานในการพัฒนาแหล่งน้ำ และมีการเชื่อมโยงในลักษณะคลองไส้ไก่ อย่างไรก็ตาม ได้มอบหมายกรมพัฒนาที่ดินต่อยอดผลการดำเนินงานและสำรวจความต้องการของเกษตรกรที่ต้องการเข้าร่วมโครงการ พร้อมน้ำระบบโซลาร์เซลล์มาใช้ในการกระจายน้ำ เป็นการลดต้นทุนให้กับพี่น้องเกษตรกร นอกจากนี้ ยังมอบหมายทุกหน่วยงานในสังกัดบูรณาการการทำงานร่วมกัน ทั้งการสนับสนุนพันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ หรือการปล่อยพันธุ์ปลาลงแหล่งน้ำ เพื่อเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรอีกทางหนึ่งด้วย” นายอัครา กล่าว