วันพฤหัสบดี ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2568 04:14 น.

การเมือง

"ดร.สุวิทย์"  ชูเศรษฐกิจพอเพียงเชิงนวัตกรรม ปลดล็อก 3 กับดักประเทศ ผสาน "จารีต-นวัตกรรม" 

วันพุธ ที่ 08 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 14.52 น.

วันที่ 8 ตุลาคม 2568 ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า "เศรษฐกิจพอเพียงเชิงนวัตกรรม" (Sufficiency Innovation Economy):

ขับเคลื่อนประเทศไทยด้วยรากแห่งจารีต × ปีกแห่งนวัตกรรม

1) ประเทศไทยท่ามกลางโลกที่พัฒนาเกินพอดี

โลกกำลังเปลี่ยนผ่านสู่ยุคที่เทคโนโลยี ทุน และอำนาจ เคลื่อนตัวรวดเร็วกว่าความสามารถของรัฐและสังคมในการปรับตัว "ความเจริญที่ไร้สมดุล" กลายเป็นต้นตอของวิกฤตระดับโลก ทั้งความเหลื่อมล้ำ การสูญเสียทรัพยากร และการขาดหลักทางจริยธรรมในการพัฒนา

ประเทศไทยยืนอยู่กลางกระแสโลกนี้ - มีศักยภาพแต่ยังไม่สามารถปลดล็อกตัวเองออกจาก สามกับดักสำคัญ

• กับดักผลิตภาพ - ผลผลิตต่ำแต่ต้นทุนสูง ระบบเศรษฐกิจยังพึ่งแรงงานราคาถูกแทนนวัตกรรม

• กับดักความเหลื่อมล้ำ - ความเจริญกระจุกในบางเมืองหรือบางกลุ่ม ผลประโยชน์ไม่ถึงประชาชนส่วนใหญ่

• กับดักการพึ่งพา - ขาดการพึ่งพาตนเองทั้งด้านทุน เทคโนโลยี และองค์ความรู้

ในยุคที่โลกแข่งขันด้วย นวัตกรรมและคุณค่า ไม่ใช่เพียงราคาหรือปริมาณ ประเทศไทยต้องการเศรษฐกิจแบบใหม่ที่ "พอดีแต่เติบโตได้" - พอดีในทรัพยากร พอดีในสังคม และพอดีในวัฒนธรรม เป็นการเติบโตที่ไม่ละเมิดสมดุลของธรรมชาติและคุณค่าความเป็นมนุษย์

2) จารีต × ปฏิรูป: รากกับปีกของการพัฒนาไทยยุคใหม่

ความท้าทายของเราวันนี้ไม่ใช่แค่ "จะพัฒนาอย่างไร" แต่คือ "จะพัฒนาโดยไม่สูญรากได้อย่างไร"

คำตอบอยู่ที่การผสาน "จารีต" และ "ปฏิรูป" เข้าด้วยกันอย่างมีปัญญา

• จารีต คือรากแห่งภูมิปัญญาและคุณธรรม

• ปฏิรูป คือปีกแห่งนวัตกรรมและประสิทธิภาพ

หากเราทำให้ จารีตทันสมัย (Modernize Tradition) และ ความทันสมัยมีคุณธรรม (Moralize Modernity) ได้จริง ประเทศไทยจะ "เติบโตโดยไม่สูญราก แข่งขันได้โดยไม่สูญคุณธรรม"

นี่คือสมการใหม่ของการพัฒนาไทย:

จารีต (Wisdom × Virtue) × ปฏิรูป (Innovation × Efficiency)

= เศรษฐกิจพอเพียงเชิงนวัตกรรม (Sufficiency Innovation Economy - SIE)

จารีตทำให้เรามีราก ปฏิรูปทำให้เรามีปีก เมื่อรวมกัน - เราจะได้โมเดลเศรษฐกิจที่มั่นคงจากฐาน และทะยานได้ในโลกใหม่อย่างมีทิศทาง

3) เศรษฐกิจพอเพียงเชิงนวัตกรรม: พัฒนาอย่างมีขอบเขตและคุณค่า

เศรษฐกิจพอเพียงเชิงนวัตกรรม (SIE) คือระบบเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมบนรากฐานแห่งคุณค่า

ใช้ "เศรษฐกิจพอเพียง" เป็นเข็มทิศชี้นำทิศทาง และใช้ "Value-based Innovation" เป็นเครื่องยนต์แห่งการเติบโต

SIE ไม่ได้ปฏิเสธการพัฒนา แต่ยืนยันว่า "ความก้าวหน้าต้องมีหลัก" - เป็นการเติบโตที่ยั่งยืน ไม่เร่งเกินขีด ไม่ชะลอจนหยุดนิ่ง

สามเป้าหมายหลักของ SIE

1. Resilience - เศรษฐกิจที่ยืดหยุ่นและรับมือวิกฤตได้

2. Inclusiveness - การเติบโตที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

3. Sustainability - ความยั่งยืนของทรัพยากรและคุณค่าทางสังคม

สามหลักการขับเคลื่อน

1. Sufficiency as Foundation - ดำเนินชีวิตและธุรกิจอย่างพอประมาณ มีเหตุผล และมีภูมิคุ้มกัน

2. Innovation as Force - ใช้เทคโนโลยีและความคิดสร้างสรรค์เพิ่มคุณค่า ไม่ใช่เพียงกำไร

3. Virtue as Value - สร้างนวัตกรรมที่มีจิตสำนึกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

สี่องค์ประกอบเชิงระบบ

1. People - พัฒนาเยาวชนและแรงงานให้มี "ทักษะนวัตกรรมบนฐานคุณค่า"

2. Planet - จัดการทรัพยากรอย่างรู้คุณและยั่งยืน

3. Prosperity - ขยายคุณค่าทางเศรษฐกิจและสังคมร่วมกัน

4. Principles - บริหารจัดการด้วยคุณธรรม ความโปร่งใส และความรับผิดชอบ

SIE จึงเป็นการยกระดับ "พอเพียงเชิงปัจเจก" สู่ "พอเพียงเชิงระบบ" ทำให้ความพอเพียงไม่หยุดอยู่แค่การดำรงชีวิต แต่กลายเป็นระบบนวัตกรรมแห่งความยั่งยืน

โดยผสาน 3 มิติของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง (พอประมาณ-มีเหตุผล-มีภูมิคุ้มกัน) เข้ากับ 3 มิติของเศรษฐกิจนวัตกรรม (Efficiency-Evidence-Resilience) เพื่อสร้างระบบเศรษฐกิจที่ "เติบโตอย่างรู้ขีดจำกัด ตัดสินใจด้วยข้อมูล และปรับตัวได้ต่อวิกฤต"

4) SIE กับสามเสาหลักของโลกใหม่: SDGs, BCG, และ ESG

ในโลกที่การพัฒนาแตกแขนงเป็นหลายเสาหลัก - SDGs ให้เป้าหมาย, BCG ให้โมเดลเศรษฐกิจ, และ ESG ให้หลักธรรมาภิบาล - SIE คือ "สะพานเชื่อม" ที่ทำให้ทั้งสามระบบนี้ทำงานร่วมกันอย่างมีชีวิต

SIE × SDGs

SIE ทำให้เป้าหมายโลกเกิดขึ้นจริงในพื้นที่ เช่น

• SDG 8: สร้างงานที่มีคุณค่า ผ่านเศรษฐกิจชุมชนและผู้ประกอบการท้องถิ่น

• SDG 9: พัฒนานวัตกรรมที่ตอบโจทย์สังคมและชุมชน

• SDG 12: ส่งเสริมการผลิตและบริโภคอย่างยั่งยืน

SIE คือการ "แปลนโยบายโลกให้เป็นพลังของคนในพื้นที่"

SIE × BCG

SIE เติม "จิตวิญญาณแห่งความพอเพียง" ลงในโมเดล BCG (Bio-Circular-Green Economy)

ให้เทคโนโลยีชีวภาพและเศรษฐกิจหมุนเวียนไม่ใช่เพียงเรื่องเทคนิค แต่มีความหมายต่อชุมชนและวัฒนธรรม เช่น

• เกษตรอินทรีย์ที่ใช้ชีวมวลของชุมชน

• ระบบจัดการน้ำหมู่บ้านที่ผสานภูมิปัญญาและวิทยาศาสตร์

นี่คือการทำให้ BCG "มีหัวใจ" และ "มีราก"

SIE × ESG

ในขณะที่ ESG มักถูกมองเป็นเกณฑ์ของภาคธุรกิจ SIE ทำให้มันกลายเป็น "จิตสำนึกของระบบเศรษฐกิจฐานราก"

• E (Environment) - ชุมชนดูแลสิ่งแวดล้อมของตนเอง

• S (Social) - สร้างโอกาสและความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจ

• G (Governance) - บริหารอย่างโปร่งใส มีส่วนร่วม และตรวจสอบได้

SIE ทำให้ ESG ไม่ใช่แค่ Compliance แต่เป็น Commitment ที่เกิดจากภายใน

5) ยุทธศาสตร์ SIE: จากแนวคิดสู่การขับเคลื่อนจริง

SIE จะไม่เกิดผล หากยังคงอยู่ในระดับแนวคิด จำเป็นต้องแปรเป็นกลไกเชิงยุทธศาสตร์ใน 4 ระดับหลัก

1. ระดับประเทศ - ใช้ SIE เป็น กรอบเศรษฐกิจคู่ขนาน ที่เชื่อม BCG, SDGs และ ESG ภายใต้หลัก "เติบโตอย่างพอเพียง"

2. ระดับพื้นที่ - จัดตั้ง Sufficiency Innovation Zones (SIZ) เพื่อเป็นศูนย์บ่มเพาะนวัตกรรมชุมชน เชื่อมโยงมหาวิทยาลัย ภาคธุรกิจ และท้องถิ่น

3. ระดับองค์กร - ปรับการบริหารด้วย ESG + Value-based Innovation เปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรให้เติบโตอย่างรับผิดชอบ

4. ระดับประชาชน - ปลูกฝัง "Sufficiency-Innovation Mindset" ในระบบการศึกษา ส่งเสริมเยาวชนให้เป็น Change Agents ของการพัฒนาที่ยั่งยืน

6) บทสรุป: พอเพียงไม่ใช่การถอยหลัง แต่คือการก้าวไปข้างหน้าอย่างมีราก

"พอเพียง" ไม่ได้หมายถึงการชะลอความเจริญ แต่คือการทำให้ความเจริญมีทิศทาง มีขอบเขต และมีจิตสำนึก ส่วน "นวัตกรรม" ไม่ใช่เพียงเทคโนโลยีใหม่ แต่คือพลังแห่งการสร้างสรรค์ที่ขับเคลื่อนสังคมให้ดีกว่าเดิม

เมื่อ "พอเพียง" และ "นวัตกรรม" มาบรรจบกัน เราจะได้เศรษฐกิจที่มั่นคงจากฐาน รุดหน้าอย่างสร้างสรรค์ และยั่งยืนอย่างมีคุณธรรม

เศรษฐกิจพอเพียงเชิงนวัตกรรม (SIE) จึงไม่ใช่เพียงปรัชญาแห่งความพอเพียงยุคใหม่ แต่คือ Blueprint ของการปฏิรูปประเทศจากภายใน -ให้เติบโตได้โดยไม่สูญราก แข่งขันได้โดยไม่สูญคุณธรรม และยืนหยัดได้ในโลกที่เปลี่ยนอย่างไร้ขีดจำกัด
 

หน้าแรก » การเมือง