วันพฤหัสบดี ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2568 02:58 น.

การเมือง

"อภิสิทธิ์" แนะรัฐบาลเดินหน้าเชิงรุกแก้ปัญหาชายแดนไทย–กัมพูชา ชี้ประชามติยกเลิก MOU ส่อปัญหา เหตุไร้ยุทธศาสตร์รองรับ

วันจันทร์ ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 12.23 น.

เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2568  ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงนโยบายความมั่นคงกรณีชายแดนไทย–กัมพูชา ซึ่งกำลังเป็นประเด็นทางการเมืองอยู่ในขณะนี้ โดยระบุว่า แม้กองทัพจะปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างดีและได้รับการสนับสนุนจากประชาชน แต่ปัญหาความมั่นคงชายแดนไม่สามารถแก้ได้ด้วยกำลังทหารเพียงอย่างเดียว จำเป็นต้องดำเนินการควบคู่กับการทูตและนโยบายต่างประเทศ เพื่อสร้างความเข้าใจและความร่วมมือที่ยั่งยืน

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า สิ่งที่น่ากังวลคือทิศทางของรัฐบาลที่ยังขาดความชัดเจน เนื่องจากนำเรื่องข้อตกลงชายแดนไปผูกกับการจัดทำประชามติ ทั้งที่ควรมีการทำงานเชิงรุกมากกว่านี้

“หลายคนคงจำได้ วันที่ผมไปรับประทานอาหารกับท่านนายกฯ ผมได้ฝากไว้ว่า ต้องระมัดระวัง เพราะกัมพูชาใช้ทุกเวทีระหว่างประเทศ เราไม่ควรตั้งรับอย่างเดียว แต่ควรเดินเกมเชิงรุกให้มากขึ้น” นายอภิสิทธิ์กล่าว พร้อมระบุว่า การรุกในเชิงการทูตจะช่วยให้กองทัพปฏิบัติหน้าที่ได้ง่ายขึ้น และลดแรงกดดันจากต่างประเทศ

เขายังกล่าวเพิ่มเติมว่า ในอดีตไทยมักเลือก “ตั้งรับ” เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งเชิงภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะในช่วงรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร แต่ในสถานการณ์ปัจจุบัน ไทยควรแสดงบทบาทเชิงรุกมากขึ้น เพราะมีศักยภาพที่จะเป็นผู้กำหนดทิศทางในภูมิภาคได้

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงแนวคิดของรัฐบาลที่เตรียมทำประชามติยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี 2543 และ 2548 นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า แม้เป็นนโยบายที่รัฐบาลแถลงต่อรัฐสภาแล้ว แต่ยังมีข้อกังวลหลายประการ โดยเฉพาะการให้ข้อมูลที่อาจไม่เพียงพอและสุ่มเสี่ยงต่อความเข้าใจผิดของประชาชน

“การทำประชามติเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเป็นข้อตกลงที่ซับซ้อน หากเราเปิดข้อมูลให้ประชาชนรับรู้เพื่อใช้ตัดสินใจ ก็เท่ากับว่ากัมพูชาจะรู้พร้อมกัน ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อการเจรจา”
นายอภิสิทธิ์กล่าว

เขาย้ำว่า หากรัฐบาลยังเดินหน้าทำประชามติ ต้องชี้ให้ชัดว่า หากยกเลิก MOU แล้ว ประเทศไทยจะเดินหน้าต่ออย่างไร ต้องมี “ยุทธศาสตร์รองรับ” เพื่อให้ประชาชนเข้าใจทางเลือกที่แท้จริงก่อนตัดสินใจ

“ไม่ใช่แค่บอกว่าจะยกเลิก แต่ต้องตอบได้ว่าหลังยกเลิกแล้วจะทำอะไรต่อ เพื่อให้ประชาชนตัดสินใจอย่างมีข้อมูลครบถ้วน”
นายอภิสิทธิ์กล่าวทิ้งท้าย

เร่งจัดทัพ "ปชป."  เป็นตัวเลือกใหม่ให้ประชาชน ยันทำนโยบายดันเศรษฐกิจโต-แก้ปัญหาประชาชน  

 นายอภิสิทธิ์  ภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ชุดใหม่  ว่า วันนี้เป็นการประชุมครั้งแรกของคณะกรรมการบริหารพรรคฯ ที่ได้รับเลือกเมื่อวันที่ 18 ต.ค.ที่ผ่านมา ทั้งนี้เราต้องรอการรับรองของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก่อนทำงานอย่างเป็นทางการ แต่ในการประชุมวันนี้ (20 ต.ค.) ได้มีการปรึกษาหารือกันแล้ว ว่าเรามีเวลาน้อยมาก สำหรับเรื่องหลักที่ได้พูดคุยกันในวันนี้ คือ 1.นโยบาย เพราะสิ่งสำคัญที่สุดในการทำงานของคณะกรรมการบริหารพรรคชุดนี้ คือ 1.ต้องสร้างความหวังให้ประชาชนให้ได้ หัวใจหลักของนโยบายของพรรคนั้น เรายืนยันว่ามีสิ่งดีๆ และความคิดดีๆ มากมาย แต่วันนี้ประเทศไทยจะยังทำไม่ได้ ถ้าเศรษฐกิจไม่โต เพราะเศรษฐกิจไทยติดหล่มมานานแล้ว เพราะฉะนั้น แนวคิดที่เราจะผลักดันให้เศรษฐกิจเติบโตซึ่งจะเกี่ยวพันไปถึงการยกเครื่องภาคการเกษตร การทำให้เศรษฐกิจไทยไปสู่เศรษฐกิจสีเขียว และเศรษฐกิจดิจิทัล รวมถึงลดความเหลื่อมล้ำ ลดการผูกขาด จะเป็นเรื่องที่เราต้องเร่งผลักดัน โดยได้มีการเชิญผู้ทรงคุณวุฒิที่จะมาให้ความคิดเห็นกับเรา ในวันที่ 28 ต.ค.นี้ ซึ่งเราตั้งโจทย์ให้กับผู้ทรงคุณวุฒิเหล่านี้ว่าประเทศไทยต้องการอะไรจากการเมือง

หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวอีกว่า 2.การเตรียมตัวผู้สมัคร ซึ่งขณะนี้ มีความไม่แน่นอนทางการเมือง และต้องทํางานแข่งขันกับเวลา โดยพรรคประชาธิปัตย์จะเคร่งครัดเรื่องการทำตามกฎระเบียบและกฎหมายเกี่ยวกับการสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้ง ดังนั้น ที่ประชุมได้มีการพูดคุยกันแล้วว่าคณะกรรมการสรรหาผู้สมัครจะต้องมีการประชุมเลือกประธาน รวมถึงทำงานกับรองหัวหน้าพรรค แต่ละภาค และบรรดาสาขาตัวแทนจังหวัดของพรรคทันที

“ผมใช้เวลาในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา พูดคุยกับบุคลากรของพรรคเยอะ มีสส.หลายท่านที่ให้การสนับสนุนผมเมื่อวันเสาร์ พูดกับผมมาก่อนวันเสาร์แล้วว่า ท่านอาจไม่ได้ร่วมงานกับผมต่อ ซึ่งผมก็เข้าใจข้อเท็จจริงทางการเมือง แต่เราต้องพยายามให้ดีที่สุด เพราะเมื่อเรามาตั้งต้นกันใหม่วันนี้ ก็พยายามพูดคุย เพราะอยากจะรักษาบุคลากรทางการเมืองของเราทุกคน แต่ธรรมชาติของการเมือง เมื่อมีการไปพูดคุยเจรจาอะไรกัน ผมเข้าใจได้ เพราะผมก็ทำงานการเมืองแบบสุภาพบุรุษ เข้าใจดีว่าบางทีใครไปตกลงอะไรไว้ เราเห็นใจ เข้าใจเขา แต่ไม่ได้เป็นอุปสรรค เราคิดเพียงอย่างเดียวว่าเราจะนำเสนอทางเลือกดีที่สุด ให้กับประชาชน ทั้งนโยบายและบุคลากร ท่ามกลางข้อจำกัดด้านเวลา”นายอภิสิทธิ์ กล่าว

เมื่อถามว่าได้มีทาบทามบุคคลอื่นมาร่วมเป็นทีมเศรษฐกิจของพรรคด้วยหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า  ไม่ได้มีเรื่องเศรษฐกิจอย่างเดียว แต่ยังมีเรื่องของมิติด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม การสร้างความเป็นธรรม และการเมือง เช่น สิ่งที่ฉุดรั้งบั่นทอนการเติบโตทางเศรษฐกิจ เพราะเรามีการคอร์รัปชั่นมาก จึงทำให้มีกฎเกณฑ์มากตามมา ส่งผลให้ธุรกิจเดินไม่ได้ สิ่งเหล่านี้จึงจะต้องเป็นสิ่งที่เราร้อยเรียงกันทั้งหมด เศรษฐกิจไทยจะโตไม่ได้ ถ้าเราไม่สามารถเพิ่มพูนทักษะให้กับคนปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงของโลก แต่เศรษฐกิจจะโตโด้ การเมืองก็ต้องดี การศึกษา และมิติอื่นๆ ก็ต้องดีด้วย

เมื่อถามว่าการกลับมาครั้งนี้ถือว่าเป็นการให้ความหวังหรือเป็นตัวเลือกใหม่แก่ประชาชนได้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า นั่นคือหน้าที่ของพรรคการเมืองอยู่แล้ว แต่ตนรู้สึกเสียดายว่า ในช่วงหลัง นักการเมืองเหมือนอยู่กันคนละโลกกับประชาชน เพราะข่าวการเมืองที่เราเห็นทุกวันนี้ ดูแล้วไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับประชาชน ตนจึงต้องการทำให้การเมืองเป็นเรื่องการแก้ปัญหาให้ประชาชนจริงๆ และอยากขอความร่วมมือสื่อมวลชนว่าเราให้มาคุยกันเรื่องที่เป็นปัญหาของประชาชนซึ่งเกี่ยวข้องกับชีวิตเขาจริงๆ นี่คือหน้าที่ของพรรคการเมือง ไม่ใช่เรื่องการมาเล่นเกมต่อรองหรือแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กัน

ผู้สื่อข่าวถามว่าก่อนจะมีการสรรหาผู้ลงสมัครได้มีการตั้งเป้าหมายหรือคาดหวังการเลือกตั้งข้างหน้าอย่างไร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนอยากได้เก้าอี้ให้มากที่สุด เมื่อถามต่อว่าประเมินเป้าหมายพื้นที่ใดเป็นพิเศษ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคของทุกคนทั้งประเทศ ส่วนจะส่งผู้สมัครลงครบทุกเขตหรือไม่ คงต้องขอดูประเมินจากความเป็นจริง เพราะเราต้องทำงานแข่งขันกับเวลา และต้องเร่งอุดช่องว่างในพื้นที่ที่มีสส.หลายคนอาจจะไม่ทำงานกับพรรคต่อไป

“ผมบอกกับทุกคนว่าผมเห็นคุณค่าของบุคลากร ใครที่ร่วมงานกับประชาธิปัตย์มา ผมก็ยินดีที่จะทำงานด้วยต่อไป แต่ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของเขาด้วย ว่าแนวทางที่ผมทำกับสิ่งที่เขาตั้งใจ มันสอดคล้องกันทั้งหมดหรือไม่อย่างไร เราต้องเคารพการตัดสินใจของกันและกัน”นายอภิสิทธิ์ กล่าว

เมื่อถามว่ามีสส.ที่ให้คำมั่นสัญญาว่าจะอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ต่อไปนั้น มีมากน้อยแค่ไหน นายอภิสิทธิ์ ไม่ตอบเพียงแต่หัวเราะ  เมื่อถามอีกว่าหรือว่าไปหมดเลย นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คงไปไม่หมด ที่ผ่านมาตนพยายามพูดคุยกับทุกคนตลอด แต่เนื่องจากตนไม่ได้อยู่ในการเมืองมาระยะหนึ่งแล้ว คงไม่ทราบข้อมูลทั้งหมดเพียงแต่บอกถึงความตั้งใจ และอยากให้เข้าใจในสิ่งที่ตนพยายามกลับเข้ามาทำมันคืออะไร หากคิดว่าเป็นสิ่งที่เขาอยากจะสนับสนุน ตนก็กล่าวเชิญชวนเขาอยู่ต่อ แต่หลายคนขอใช้คำว่าการพูดคุยมันลึกไปแล้ว เราต้องยอมรับว่ามันเกิดสิ่งนั้นก่อนที่จะมีการประชุมพรรคเมื่อวันที่ 18 ต.ค.ที่ผ่านมา

ผู้สื่อข่าวถามว่าปัญหาความขัดแย้งในจ.ตรัง จากกรณีที่นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย อดีตสส.ตรัง ได้ดำรงตำแหน่งรองหัวหน้าพรรค ซึ่งอาจทำให้นายสมชาย โล่สถาพรพิพิธ อดีตสส.ตรัง ที่เคยประกาศตัวอยู่ตรงข้ามกับนายสาทิตย์ อาจจะออกจากพรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนไม่ได้ยินมาอย่างนั้น แต่จากที่ได้คุยกับ สส.และนายสาทิตย์ ที่บอกว่าคนนั้นคนนี้เหตุมันคืออะไร ตนเพียงแต่บอกว่าตนมาสลายเหตุแล้วกัน และดูว่าจะไปด้วยกันได้หรือไม่อย่างไร อย่างที่บอกตนกลับมาต้องการรักษาทุกคน แต่ขึ้นอยู่กับเขาจะตัดสินใจอย่างไร

เมื่อถามว่าคณะกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ชุดเก่าเคยข้ามขั้วไปร่วมงานกับพรรคเพื่อไทย ทิศทางพรรคประชาธิปัตย์ครั้งหน้าจะเป็นอย่างไร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนคิดว่ารอดูท่าที จุดยืน และการกระทำของแต่ละพรรคก่อนดีกว่า แต่ตนว่าทุกคนทราบดีอยู่แล้วว่าตนยึดถืออุดมการณ์และสัจจะเป็นสำคัญ
 

หน้าแรก » การเมือง

Top 5 ข่าวการเมือง

ข่าวในหมวดการเมือง