วันอังคาร ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2568 01:12 น.

การเมือง

"อนุทิน" มอบนโยบายทำงบประมาณปี 2570  โยกสัมมนาลงน้ำท่วม ย้ำเงินเยียวยาไม่ช้าแม้เอกสารอาจสูญหาย 

วันจันทร์ ที่ 01 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 13.00 น.

"อนุทิน" มอบนโยบายหัวหน้าส่วนราชการทั่วประเทศ จัดทำงบประมาณรายจ่ายปี 2570 ขอทุกส่วนราชการ ปรับแผนจัดงบสัมมนาลงจังหวัดน้ำท่วม ย้ำเงินเยียวยาไม่ช้าแม้เอกสารอาจสูญหาย 

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เปิดเผยในการประชุมสัมมนาการมอบนโยบาย และแนวทางการจัดทำงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 โดยมีหัวหน้าส่วนราชการทั่วประเทศเข้าร่วมรับฟัง ตอนหนึ่งว่า 

ในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมาได้ลงพื้นที่ต่างจังหวัดหลายครั้ง เพื่อตรวจพื้นที่หาความช่วยเหลือให้กับประชาชนในจังหวัดที่ประสบปัญหาภัยพิบัติและเห็นสภาพปัญหาปีนี้ ประชาชนเผชิญกับปัญหาภัยพิบัติอย่างเช่นน้ำท่วมที่หนักหนาสาหัสอย่างจริง ๆ เรื่องการเยียวยา จึงขอให้ทางหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องได้เร่งดำเนินการโดยด่วนที่สุด 
รวมทั้งให้มีความครอบคลุมและทั่วถึงลดขั้นตอนต่าง ๆ เพื่อให้การช่วยเหลือเงินช่วยเหลือ งบประมาณ หรือนโยบายต่างๆ ได้ไปถึงมือผู้ประสบความเดือดร้อนให้เร็วที่สุดด้วย
ทั้งนี้รัฐบาลขอความร่วมมือให้ให้ทุกหน่วยงาน ทั้งภาครัฐและเอกชนพิจารณาการจัดการประชุม อีเวนต์ต่าง ๆ หรือการสัมมนาอบรมปฐมนิเทศในช่วงนี้ ก็ขอให้เลือกจังหวัดที่เกิดภัยพิบัติเหล่านี้ เพื่อให้มีเงินไหลเวียนเข้าสู่พื้นที่ให้มากที่สุด ตัวอย่างเช่นอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เป็นต้น

"หาดใหญ่นี่จริงๆ เขาเตรียมพร้อมที่จะรับนักท่องเที่ยวนักกีฬาในกีฬาซีเกมส์ที่กำลังจะเปิดขึ้นภายในสัปดาห์นี้พอเกิดเหตุอุทกภัยโรงแรมต่างๆ ที่เขาเตรียมรีโนเวทเรียบร้อยแผนการต่างๆ ก็ต้องพักไปเพราะว่าสภาพพื้นที่ไม่อำนวยให้มีการไปจัดกีฬาที่นั่นซึ่งก็ทำให้การลงไปของนักท่องเที่ยวกองเชียร์ผู้สนใจทางกีฬาก็ต้องยกเลิกการสำรองห้องพักต่างๆ ไปอย่างนี้เป็นต้นซึ่งก็จะทำให้เกิดความเสียหายต่าง ๆ ตามมาอีกมากมาย" 

นายอนุทินกล่าวว่า รัฐบาลขอถือโอกาสนี้ฝากทุกท่าน โดยเฉพาะหัวหน้าส่วนราชการว่า รัฐบาลไม่ได้ตัดงบประมาณในการไปประชุม ดูงาน หรือสัมมนาภายในประเทศแต่ขอให้ได้เลือกไปช่วยเหลือจังหวัดที่โชคไม่ค่อยดีเหมือนจังหวัดอื่น ๆ และมีการประสบภัยพิบัติต่าง ๆ เพื่อเป็นการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ช่วยให้เขามีรายได้และในที่สุดสิ่งเหล่านี้ก็จะช่วยให้โอกาสให้วิถีชีวิตที่ดีขึ้นกับประชาชนผู้เคราะห์ร้ายที่ประสบภัย เพราะจะได้มีเงินต่าง ๆ ไหลเวียนเข้าไปในพื้นที่ให้มากที่สุด 

นายอนุทิน กล่าวอีกว่า ในการจัดทำงบประมาณรายจ่ายปี 2570 รัฐบาลได้กำหนดนโยบาย โดยยึดแนวทางจากแผนการกลางระยะปานกลางซึ่งก็คืออยู่ในช่วงปี 70-73 และในปีนี้ถึงแม้จะยังเป็นงบประมาณที่ถูกจัดทำแบบขาดดุล แต่รัฐบาลก็ยังมีความตั้งใจที่จะลดการขาดทุนของงบประมาณลงอย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้เป็นภาระงบประมาณในอนาคตและรักษาสัดส่วนหนี้สาธารณะให้อยู่ในกรอบที่เหมาะสม โดยอยู่บนหลักการรักษาวินัยการเงินการคลังรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ

“ปีงบประมาณ 2570 นี้เป็นปีที่ประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ สังคมสูงวัย ความเหลื่อมล้ำ และผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวน ทำให้ต้องใช้งบประมาณมหาศาลในการปรับตัวป้องกันภัยพิบัติและเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบ และภาครัฐต้องปรับตัวให้ทันสมัยโดยนำระบบดิจิทัลและเทคโนโลยีมาใช้ปฏิบัติงานให้เกิดประสิทธิภาพติดตามและประเมินผล เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณโปร่งใส และตรวจสอบได้” 

ดังนั้นงบประมาณปี 2570 จึงจะต้องตอบโจทย์ได้ครบสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจการดูแลสังคมและการรักษาวินัยการคลังอย่างเคร่งครัด โดยรัฐบาลได้กำหนดนโยบายสำคัญที่จะเป็นการแก้ไขปัญหาต่างๆ ของประเทศออกเป็น 5 ด้าน ดังนี้ 

ด้านที่ 1 เศรษฐกิจ 
รัฐบาลจะดำเนินมาตรการให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวอย่างเป็นระบบ โดยเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะสั้น ควบคู่กับการวางรากฐานเศรษฐกิจในระยะยาว ตามนโยบายควิกบิกวิน คือการกระตุ้นสั้น ได้ผลยาว และกระจายตัว ที่ผ่านมารัฐบาลได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อกระตุ้นการเติบโตในช่วงไตรมาสที่ 4 นี้ ทั้งการกระตุ้นกำลังซื้อโดยเติมเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการคนละครึ่งพลัส โครงการเที่ยวดีมีคืน รวมทั้งเร่งเบิกจ่ายงบประมาณของหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งจะทำให้มีเงินลงไปในระบบเศรษฐกิจของเราไม่ต่ำกว่า 100,000 ล้านบาท 

นอกจากนี้ยังมีมาตรการในการลดภาระหนี้ภาคประชาชนผ่านโครงการแก้หนี้ครัวเรือน การเพิ่มความสามารถในการแข่งขันแก่ SME ควบคู่กับการเข้าถึงแหล่งเงินทุน รวมถึงการสร้างโอกาสในการดำเนินธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการต่าง ๆ ซึ่งมาตรการเหล่านี้เป็นการสร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการและลดรายจ่ายสำหรับประชาชน รวมถึงเปิดโอกาสให้สามารถรักษาระดับการจ้างงานได้อย่างต่อเนื่อง

รวมทั้งการลงทุนเพื่ออนาคต การยกระดับศักยภาพธุรกิจไทยให้เติบโตบนเส้นทางเศรษฐกิจสีเขียว และรัฐบาลจะบริการจัดการราคาสินค้าเกษตรให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ยกระดับเกษตรกรของไทยให้เป็นเกษตรกรที่ทันสมัยมีการผลิตที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม เพื่อลดข้อจำกัดการส่งออกเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกร

ด้านมาตรการการกระตุ้นการท่องเที่ยว ได้เริ่มดำเนินการไปแล้วก็คือโครงการเที่ยวดีมีคืน เพื่อกระจายเงินสู่พื้นที่ท้องถิ่นที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเน้นให้การท่องเที่ยวได้กระจายตัวไปยังเมืองรองทั่วประเทศ ขณะที่การต่างประเทศนั้นรัฐบาลกำลังเร่งเจรจาเพื่อจัดการแก้ไขผลกระทบจากสงครามการค้า รวมทั้งผลักดันให้ประเทศไทยได้เข้าเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ให้แล้วเสร็จภายในปี 2573 

ส่วนภาคอุตสาหกรรม ถือเป็นอีกฟันเฟืองสำคัญของเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะ SME ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีรัฐบาล จะสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งทุนการใช้เทคโนโลยีการเรียนรู้ทักษะ เพื่อปรับตัวให้ทันกับการแข่งขันและยกระดับธุรกิจ 

สำหรับภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่จะดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศให้เข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมสำคัญ เช่นอุตสาหกรรมดิจิทัล AI Data Center เซมิคอนดักเตอร์ รถพลังงานไฟฟ้าหรือ EV พลังงานสะอาด รวมทั้งผลักดันอุตสาหกรรมสีเขียวที่มีการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 

ด้านที่ 2 ความมั่นคง 
รัฐบาลมุ่งเน้นแนวทางสันติวิธีในการแก้ปัญหาข้อพิพาทระหว่างประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงแก้ปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้เป็นรูปธรรม นอกจากนี้รัฐบาลยังมุ่งดำเนินนโยบายต่างประเทศเชิงรุกที่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกนำประเทศไทยกลับเข้ามาคืนสู่ในจอเรดาร์อีกครั้ง เพื่อสร้างความมั่นใจและสร้างบทบาทของประเทศไทยในเวทีโลก 

"เรามีปัญหาพิพาทกับกัมพูชาได้เห็นความทุ่มเทเสียสละความอดทนของประชาชนไทยและเจ้าหน้าที่กองทัพตำรวจฝ่ายความมั่นคงฝ่ายปกครองในการปกป้องอธิปไตยรักษาบ้านรักษาเมือง เราจะต้องแสดงความเป็นไทยให้กับคนที่คิดว่าประเทศไทยของเราเป็นสิ่งที่ต่อรองได้ ผมเชื่อมั่นว่าไทยนี่รักสงบแต่ถึงรบเนี่ยไม่เคยขาด รัฐบาลต้องให้การสนับสนุนกองทัพในการรักษาอธิปไตยของแผ่นดินอย่างเต็มที่และไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากชนะลูกเดียวถ้าจะต้องมีการต่อสู้กัน การพัฒนาความมั่นคงพัฒนากองทัพก็ต้องเร่งให้เกิดความพร้อมด้วย"

ด้านที่ 3 สังคม 
รัฐบาลจะจัดการกับปัญหาเร่งด่วนอย่างพวกสแกมเมอร์หรือการหลอกลวงทางเทคโนโลยี เรื่องการพนันอาชญกรรมข้ามชาติ ยาเสพติด รวมทั้งการแก้ปัญหาการแสวงหาประโยชน์ให้แก่ตนเองหรือพวกพ้อง โดยยึดหลักนิติธรรมและความโปร่งใส เพื่อไม่ให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชั่น 

ด้านที่ 4 ภัยธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 
รัฐบาลจะพัฒนาเครือข่ายการเตือนภัยพิบัติอย่างเป็นระบบโดยเฉพาะในพื้นที่ที่ประสบภัยธรรมชาติเช่นพื้นที่ที่มีน้ำท่วมเป็นประจำพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงหมอกควันต้องใช้แนวทางป้องกันก่อนเกิดเหตุและต้องเร่งเยียวยาและฟื้นฟูผู้ประสบภัยให้กลับสู่วิถีชีวิตที่เป็นปกติโดยเร็ว 

รวมทั้งเตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหรือ climate change ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญของทุกประเทศโดยผลักดันให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิหรือว่า net zero ให้เป็นศูนย์ภายในปี 2593 ด้วยการดำเนินการลดการเผาในภาคการเกษตร สร้างความมั่นคงทางพลังงาน ส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด พลังงานแสงอาทิตย์ และจัดตั้งตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิตที่ได้มาตรฐานสากล

ด้านที่ 5 การบริหารงานภาครัฐ 
การปฏิรูปกฎหมายมุ่งสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัลการให้บริการต่างๆ เพื่อให้เกิดมีความสะดวกรวดเร็วมีการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใสอำนวยความสะดวกให้กับภาคเอกชนและประชาชนรวมทั้งปรับปรุงแก้ไขหรือยกเลิกกฎหมายกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคแก่ประชาชนและภาคธุรกิจ ให้บรรลุเป้าหมายโดยเร็ว

นายอนุทิน กล่าวว่า ด้านสถานการณ์ภาคการคลังของประเทศไทยได้ส่งสัญญาณเตือนมาหลายด้าน โดยสัดส่วนรายได้ของรัฐบาลต่อ GDP มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องจากร้อยละ 17 ในปี 2536 เหลือร้อยละ 15 โดยประมาณในปีนี้ ในขณะที่สัดส่วนรายจ่ายของรัฐบาลต่อ GDP มีแนวโน้มสูงขึ้นเป็นลำดับ โดยรายจ่ายประจำมีสัดส่วนมากถึงร้อยละ 70-80 ของภาพรวมของรายจ่ายรัฐบาล 

ดังนั้นรัฐบาลจึงมุ่งเน้นฟื้นฟูสภาพทางการคลังของประเทศ ล่าสุดคณะมนตรี (ครม.) ได้มีมติเห็นชอบแผนการคลังระยะปานกลางช่วงปี 70-73 ได้กำหนดเป้าหมายที่จะปรับลดการขาดดุลงบประมาณไม่เกินร้อยละ 3 ของ GDP ภายในปีงบประมาณ 2572 และควบคุมสัดส่วนหนี้สาธารณะให้ไม่เกิน 70% ต่อ GDP

“ขอให้เพื่อนข้าราชการทุกท่านทุกฝ่ายช่วยกันใช้บริหารการจ่ายงบประมาณให้มีประสิทธิภาพอย่างสูงที่สุด เพื่อไม่ให้ประเทศไทยของเราต้องเจอวิกฤตการด้านการเงินการคลังในอนาคต ทั้งนี้งบประมาณรายจ่ายของปี 70 ได้กำหนดกรอบวงเงินงบประมาณไว้ที่จำนวน 3.78 ล้านล้านบาท เพิ่มจากงบประมาณปีที่แล้วเพียง 7,400 ล้านบาท คิดเป็น 0.2% ในขณะที่ยังมีภาระค่าใช้จ่ายผูกพันและรายจ่ายที่จำเป็นต้องจ่ายอีกจำนวนมาก”

ดังนั้นในการขอรับการจัดสรรงบประมาณของปี 70 นี้ จึงขอให้ทุกหน่วยงานได้พิจารณาจัดทำคำขอให้มีประสิทธิภาพและไม่ควรเพิ่มเกินร้อยละ 20 ของปีที่แล้ว ส่วนที่เพิ่มขึ้นก็ควรจะเป็นรายจ่ายลงทุนไม่ใช่รายจ่ายที่ใช้แล้วหายไปต้องไม่เป็นการเพิ่มรายจ่ายประจำที่เป็นภาระงบประมาณในระยะยาวด้วย และการใช้งบประมาณต้องมีความโปร่งใสต้องเกิดประโยชน์สูงสุดของประชาชน และขอให้เข้มงวดรายจ่ายประจำให้ขอเฉพาะเท่าที่จำเป็นจริง ๆ เท่านั้น

นอกจากนี้ยังขอให้หน่วยงานรับงบประมาณพิจารณาการใช้จ่ายเงินจากแหล่งอื่น ที่สามารถดำเนินการได้ตามกฎหมายเพื่อลดภาระของงบประมาณในอนาคต เช่น เงินกู้ การร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน หรือ PPP หรือการใช้จ่ายจากกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย หรือ Thailand Future Fund และขอให้ทุกหน่วยงานที่มีเงินนอกงบประมาณ เงินรายได้และเงินสะสม มาใช้จ่ายในการดำเนินภารกิจก่อนเป็นลำดับแรก

ยันเงินเยียวยาน้ำท่วมไม่ช้าแม้เอกสารอาจสูญหาย พื้นที่นอกเขตฉุกเฉินมีหลักเกณฑ์ของ ปภ.

นายอนุทิน กล่าวถึงขั้นตอนการเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ซึ่งเอกสารสำคัญอาจจะสูญหายว่า ได้ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดดำเนินการแล้ว ไม่ช้าแน่นอน

ส่วนในพื้นที่ที่ไม่ได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน การให้ความช่วยเหลือเยียวยาจะเหมือนกันหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า มันมีหลักเกณฑ์ของกรมป้องกันบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) อยู่ในส่วนของพื้นที่ที่ไม่มีการประกาศ

ส่วนหลังจากนี้จะมีการประกาศขยายพื้นที่เพิ่มเติมหรือไม่โดยเฉพาะจังหวัดสตูล นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดจะเป็นผู้ประเมินสถานการณ์และพิจารณา เพราะอยู่ในอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัดอยู่แล้ว

หน้าแรก » การเมือง

Top 5 ข่าวการเมือง