บุกยึดเดอะคิงคองเขาค้อแลนด์มาร์ก

“ชุดพยัคฆ์ไพร ร่วมกับ ฝ่ายความมั่นคง ฝ่ายปกครอง เข้าตรวจยึดเดอะคิงคองเขาค้อ แลนด์มาร์กให้บริการนักท่องเที่ยว หลังได้รับเรื่องร้องเรียนจากพลเมืองดีว่า มีการก่อสร้างสิ่งปลูกในเขตพื้นที่ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต”

เดอะคิงคองเขาค้อ แลนด์มาร์กให้บริการนักท่องเที่ยว ในอำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ คือเป้าหมายที่กำลังเจ้าหน้าที่ชุดพยัคฆ์ไพร ร่วมกับ ชุดปฏิบัติการ ศปป.4 กอ.รมน. สำนักจัดการทรัพยาป่าไม้ที่ 4 สาขาพิษณุโลก ศูนย์ป่าไม้จังหวัดเพชรบูรณ์ ทหาร ตำรวจ ขนส่งจังหวัดเพชรบูรณ์ ตม.เพชรบูรณ์ และฝ่ายปกครองในพื้นที่เขาค้อเข้าตรวจสอบ หลังได้รับเรื่องร้องเรียนจากพลเมืองดีว่า มีการก่อสร้างสิ่งปลูกในเขตพื้นที่ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต

การตรวจสอบนำโดยนายนฤพนธ์ ทิพย์มณฑา หัวหน้าหน่วยเฉพาะกิจปราบปรามพิเศษ (พยัคฆ์ไพร) พันเอกพงษ์เพชร เกษสุภะ หัวหน้าชุดปฏิบัติการ ศปป.4 กอ.รมน. นายชิต อินทรนก ผู้อำนวยการสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 4 สาขาพิษณุโลก เมื่อมาถึง เจ้าหน้าที่ได้พบกับหญิง 2 คน อ้างว่าเป็นเจ้าของและผู้ดูแล ต่อมามีชายคนหนึ่งเข้ามาคอยสังเกตุการณ์การทำงานของเจ้าหน้าที่ เมื่อสอบถามปฏิเสธว่าไม่ได้เกี่ยวข้อง แต่ข้อมูลหน่วยความมั่นคงพบว่าชายคนดังกล่าวคือเจ้าของเดอะคิงคองเขาค้อตัวจริง เจ้าหน้าที่จึงให้นำหลักฐานการครอบครองที่ดินมาแสดง ตรวจสอบพบว่า ที่ดินมีบันทึกการนำรังวัด และมีหนังสือรับรองจาก ชุดปฏิบัติการ ศูนย์อำนวยการประสานงานและแก้ไขปัญหาโครงการพัฒนาลุ่มน้ำเข็กว่าทำกินในที่ดินจริง แต่เมื่อตรวจสอบการทำประโยชน์ พบว่าเดอะคิงคองเขาค้อ ครอบครองที่ดินทับซ้อนแปลงที่ดินของบุคคลอื่น เจ้าหน้าที่จึงร่วมกันตรวจยึดพื้นที่และสิ่งปลูกสร้าง 14 ไร่เศษ พร้อมรวบรวมหลักฐาน ร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรเขาค้อ ฐานร่วมกันทำความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 54 และมาตรา 55 นอกจากนี้เตรียมขยายผลเอาผิด หากพบว่าเจ้าหน้าที่รัฐปล่อยปละละเลยหรือมีส่วนเกี่ยวข้อง จะลงโทษให้ถึงที่สุดทั้งวินัยและอาญา

จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ขยายผลตรวจสอบรถราง 2 คัน ที่ถูกนำไปซุกซ่อนอำพรางอยู่ภายในบริเวณทุ่งกังหันลม โดยทางเจ้าหน้าที่ขนส่งจังหวัดเพชรบูรณ์ ตรวจสอบสภาพเป็นรถไม่สามารถจดทะเบียนได้ ซึ่งจะได้ทำบันทึกตรวจยึดเพิ่มเติมต่อไป
 

ต่อมา เจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจสอบที่ดินท้องที่หมู่ 10 ตำบลเขาค้อพบว่า กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้างอาคารร้านกาแฟ และปรับพื้นที่เป็นลานกางเต็นท์ โดยไม่พบเจ้าของที่ดินและผู้ดูแลแต่อย่างใด จากการตรวจสอบพบว่าผู้ครอบครองที่ดินเนื้อที่ 7 ไร่เศษ ได้ขออนุญาตไปยังศูนย์ป่าไม้เพชรบูรณ์ แต่ถูกสั่งระงับการก่อสร้าง เนื่องจากตรวจพบว่าที่ดินทับซ้อนกับแปลงที่ดินของบุคคลอื่น เจ้าหน้าที่คาดว่าเป็นการบุกรุกป่าของกลุ่มทุน ซึ่งจะดำเนินการขยายผลตรวจสอบ และหากพบการกระทำผิดจะดำเนินการตรวจยึดต่อไป