วันที่ 6 สิงหาคม 2567 เวลาประมาณ 08.20 น. ศูนย์วิทยุ 191 รับแจ้งว่ามีคนพบศพผู้เสียชีวิตภายในรถเก๋ง บริเวณลานจอดภายในสวนสาธารณะเทิดพระเกียรติท้ายเมือง เขตเทศบาลเมืองนครพนม จึงประสานไปยังตำรวจสายตรวจเข้าไปตรวจสอบตามที่ได้รับแจ้ง พบว่าที่เกิดเหตุอยู่ในใกล้กับศาลเจ้าพ่อสัมมะติ ผีหลักเมืองตามคติความเชื่อ ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และเป็นที่เคารพบูชาของคนนครพนม ตั้งแต่สมัยยังเป็นเมืองมรุกขนคร  

พบผู้แจ้งเหตุทราบว่าสามี อายุ 51 ปี ทำงานเป็นพนักงานขับรถประจำเทศบาลตำบลแห่งหนึ่ง อ.เมืองนครพนม ซึ่งอยู่ในอาการตกใจเนื้อตัวสั่น เพราะศพที่เสียชีวิตในรถยนต์เก๋งยี่ห้อซูซูกิ สีขาว ทะเบียนนครพนม คือภรรยา อายุ 46 ปี ตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาเด็กเล็กก่อนวัยเรียนแห่งหนึ่ง สภาพศพปรับเบาะเอนนอนอยู่ด้านคนขับ โดยมีโทรศัพท์มือถือวางไว้ที่คอลโซลหน้า และกุญแจรถเสียบคาอยู่ที่ช่องสตาร์ท

 ส่วนเบาะด้านซ้ายข้างคนขับ มีเตาอั้งโล่สภาพใหม่เอี่ยม ยังมีถ่านที่ยังไม่มอดกลิ่นกรุ่นอยู่ เจ้าหน้าที่จึงกันพื้นที่ห้ามผู้ไม่เกี่ยวข้องเข้าไป พร้อมประสาน พ.ต.อ.(หญิง) จิรนันท์ ธนะสิงห์ ผู้กำกับการกองพิสูจน์หลักฐานฯ (ผกก.พฐ.นครพนม) พ.ต.ท.พร้อมศักดิ์ รัตนดี รอง ผกก.ป.สภ.เมืองนครพนม พ.ต.ท.กันตินันท์ สงครามยศ รอง ผกก.สืบสวนฯ และ พ.ต.ท.ธานินทร์ กันภัย รอง ผกก.สอบสวน สภ.เมืองนครพนม พร้อมแพทย์เวร รพ.นครพนม ร่วมชันสูตรพลิกศพ

จากการสอบถามสามี และเป็นผู้พบศพคนแรกเล่าว่า ภรรยาหายออกจากบ้านตั้งแต่กลางดึกของคืนวันที่ 5 สค. ตนพยายามติดต่อก็ไม่มีสัญญาณ กระทั่งเช้าได้ขับรถจักรยานยนต์ไปส่งลูกชาย พร้อมบอกกับลูกว่าพ่อจะไปตามหาแม่ก่อนนะ เชื่อเมียจะต้องอยู่บริเวณริมแม่น้ำโขง จึงเริ่มขับรถตระเวนหาตั้งแต่สวนหลวง ร.9 อยู่ทางโซนเหนือของเทศบาลเมืองนครพนม กระทั่งมาถึงโซนใต้สวนเทิดพระเกียรติ เห็นรถยนต์จอดอยู่ในลาดจอดรถ เห็นเมียนอนในสภาพปรับเบาะเอนนอน และประตูรถไม่ได้ล็อคแต่ยังไม่กล้าเปิด เพราะหากเกิดเหตุร้ายขึ้นมาเกรงจะไม่มีพยาน จึงไปเรียกพนักงานร้านสะดวกซื้อที่อยู่ใกล้ๆมาเป็นพยาน  พอเปิดประตูก็ผงะเพาะเมียรักเสียชีวิตแล้ว โดยที่วางเท้าเบาะด้านซ้ายมีเตาอั้งโล่อยู่ เชื่อเมียรมควันฆ่าตัวตายแล้วจึงแจ้งศูนย์วิทยุ 191 ดังกล่าว

ส่วนมูลเหตุการปลิดชีวิต สามีเล่าว่า ภรรยาน่าจะเกิดความเครียดจากการที่ไปกู้เงินนอกระบบ จำนวน 40,000 บาท เพื่อนำมาใช้จ่ายหมุนเวียนภายในครอบครัว แม้จะใช้เวลาว่างไปขายหมาล่าอยู่หน้าร้านสะดวกซื้อ แต่ยังไม่พอมาจ่ายหนี้ให้พวกหมวกกันน็อค บางครั้งต้องปิดร้านเพราะถูกตามทวงหนี้แบบถี่ๆ อีกทั้งพวกหมวกกันน็อคไม่มีมารยาท จะตามไปทวงเงินถึงที่ทำงาน ทำให้มีความอับอาย ก่อนเกิดเหตุแก๊งหมวกกันน็อคบุกมาหาที่บ้าน ทวงเงินที่ยังไม่ผ่อนจ่ายถึง 3 ครั้ง ตนได้บอกไปว่าอย่ามากดดันมาก เป็นหนี้ก็ต้องจ่าย แต่ให้เวลาได้หาเงินหน่อย ซึ่งแก๊งทวงเงินนอกระบบไม่ยอม ยืนยันจะต้องได้เงินภายในวันนี้เท่านั้นพร้อมขู่ทำร้าย เมียจึงเกิดความเครียดและขับรถออกจากบ้านหายไปทั้งคืน กระทั่งมาพบศพรมควันเสียชีวิตอยู่ในรถ

นอกจากนี้สามีได้เล่าต่อว่า ตนกับเมียเคยปรับทุกข์กันเรื่องหนี้สิน เมียได้เอ่ยขึ้นมาว่าถ้าคุณตายได้เงินน้อย แต่ถ้าฉันตายจะได้เงินมาก เพราะเป็นข้าราชการครู มีประกันชีวิตรวมเป็นเงินหลายล้านบาท สามารถนำไปปลดหนี้ได้หมด แถมยังมีเงินเหลือไว้เป็นทุนอีกด้วย กระทั่งไม่สามารถติดต่อเมียได้ จึงมีลางสังหรณ์ว่าเมียน่าจะทำจริง เพื่อปลดหนี้ให้กับครอบครัว ขณะขับรถ จยย.เลาะหาใจภาวนาว่าอย่าให้เป็นอย่างที่เธอพูดเลยนะ และเธอก็ทำจริงๆเพื่อล้างหนี้ ยอมรับทำใจไม่ได้

ซึ่งสามีสติแตกที่เห็นศพเมีย จึงกดโทรศัพท์ไปหาแก๊งเงินกู้นอกระบบ ว่า เมียผมตายแล้วนะมาดูผลงานคุณสิ มีคนอยู่เยอะเลยมาเร็วๆ ซึ่งแก๊งเงินกู้ได้วางสายทิ้งไป ขณะเดียวกันลูกชายคนโต อายุ 16 ปี กำลังเรียนระดับ ปวช.1 ได้มาดูศพผู้เป็นแม่ก็ถึงกับปล่อยโฮ พร้อมเล่าว่าปกติแม่จะเป็นที่ไม่ค่อยตามใจลูก ก่อนคิดสั้นแม่ถามอยากได้อะไร เพราะใกล้ถึงวันเกิดตนพอดี รู้สึกว่าแม่อารมณ์ดีกว่าปกติ ทั้งยังสั่งว่าให้ไปอยู่ห้องคุณตานะเพราะมีแอร์เย็นสบาย  คล้ายเป็นการสั่งเสีย และตนเห็นแม่เขียนบันทึกในสมุดหลายหน้ากระดาษ ก่อนเกิดเหตุแม่ชวนไปซื้อเตาอั้งโล่ที่ร้านแถวสี่แยกศรีเทพ ใกล้ลานพญานาค โดยบอกว่าทำเตาเขาแตกจะซื้อไปเปลี่ยน ที่ไหนได้แม่เอาเตาใบนั้นมาก่อไฟเพื่อรมควันฆ่าตัวตาย โดยพบไฟแช็กอยู่ในกระเป๋าหิ้วพร้อมสมุดที่จดบันทึก โดยแพทย์ชันสูตรพลิกศพ คาดเสียชีวิตไม่น้อยกว่า 8 ชั่วโมง ทางญาติไม่ติดใจในสาเหตุการตาย จึงขอนำศพไปบำเพ็ญกุศลที่บ้านพัก บ้านเหล่าภูมี ต.หนองญาติ อ.เมืองนครพนม และปรึกษาญาติดำเนินการฌาปนกิจต่อไป