วันที่ 7 ส.ค.68  นายบันดาล  สถิรชวาล  รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี  เป็นประธานเปิดงานแสดงสินค้าและการประชุมนานาชาติ Palmex Thailand 2025  ณ ศูนย์แสดงสินค้า  สหกรณ์สุราษฎร์ธานี จำกัด (CO-OP)  อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี  ตอกย้ำบทบาทของไทยในฐานะผู้ผลิตน้ำมันปาล์มรายใหญ่อันดับ 3 ของโลก และเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันในภูมิภาคอาเซียน โดยมีผู้แสดงสินค้ากว่า 200 แบรนด์ จาก 15 ประเทศ และคาดว่ามีผู้เข้าร่วมงานกว่า 3,000 คน ตลอดการจัดงาน

โอกาสนี้ นายบันดาล  สถิรชวาล  ได้กล่าวเปิดงานพร้อมเน้นย้ำความมุ่งมั่นของจังหวัดสุราษฎร์ธานี ในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันอย่างเป็นระบบและยั่งยืน  ซึ่งทางจังหวัดได้ดำเนินนโยบายพัฒนาสู่การเป็น Oll Palm City มาตั้งแต่ปี 2562  โดยวางแผนการพัฒนาอย่างครอบคลุม ทั้งห่วงโซ่ตั้งแต่การเพิ่มคุณภาพผลผลิตการแปรรูปที่ได้มาตรฐาน  ไปจนถึงการยกระดับด้านตลาดและการส่งออกด้วยกลไกหลัก 3 คณะทำงาน  เพื่อรองรับการเติบโตอย่างมั่นคงของภาคเกษตรและอุตสาหกรรม  ขณะที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีพื้นที่เพาะปลูกปาล์มน้ำมันมากที่สุดในประเทศไทย  และเป็นแหล่งวัตถุดิบสำคัญในการผลิตน้ำมันปาล์มดิบ (CPO)  ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในหลากหลายอุตสาหกรรมทั้งอาหาร  พลังงานทดแทน และเคมีภัณฑ์

ทางด้านนางจิตรา ราชแก้ว  เกษตรและสหกรณ์จังหวัดสุราษฎร์ธานี  ได้รายงานภาพรวมของนโยบายด้านการเกษตรและเป้าหมายระดับประเทศ “Palmex Thailand  ว่า  เป็นเวทีสำคัญที่สอดคล้องกับแผนพัฒนาปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มของประเทศไทย พ.ศ. 2566 – 2570  จากข้อมูลของกระทรวงเกษตรฯ ระบุว่า ไทยมีพื้นที่เพาะปลูกปาล์มน้ำมันมากกว่า 5.5 ล้านไร่  ผลิตน้ำมันปาล์มดิบเฉลี่ยปีละกว่า 3.7 ล้านต้น  หรือคิดเป็นเกือบ 5% ของผลผลิตน้ำมันปาล์มโลก  โดยมีความต้องการใช้ในประเทศและการส่งออกที่เติบโตต่อเนื่อง

ขณะที่คุณศาณินทร์  ตริยานนท์  ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย  กล่าวว่า  งาน Palmex  เป็นมากกว่างานแสดงสินค้าแต่เป็นมหกรรมประจำปีของอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มไทย  ที่เปิดโอกาสให้ภาคธุรกิจ เกษตรกร และภาควิชาการ  ได้มาแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และเตรียมความพร้อมสู่อนาคต  โดยเฉพาะด้านการผลิตน้ำมันปาล์มอย่างยั่งยืนภายใต้มาตรฐาน RSPO  ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก  ซึ่งภาคเอกชนไทยได้ลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีการแปรรูป และการผลิตไบโอดีเซล B7, B10 และ B20  ซึ่งสอดรับกับนโยบายพลังงานสะอาดของประเทศ และช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มในภาคอุตสาหกรรมอย่างเป็นรูปธรรม.