วันพุธ ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 11:56 น.

อื่นๆ » คอลัมน์

ไลฟ์สไตล์

บ้านเมือง : วันอาทิตย์ ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561, 08.12 น.

สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงกู้ชาติไทยครบ ๒๕๐ ปี หากไม่มีพระองค์..ก็อาจไม่มีเราในวันนี้?

โดย  ว.วรรณพงษ์

 

 

 

ณ ท่าเรือเมืองจันทบุรี เดือนสิบเอ็ดปีกุนนพศกนั้น พระเจ้าตากสินเสด็จยาตรากำลังพลประมาณ ๕,๐๐๐ คน ทัพเรือร้อยลำเศษจากเมืองจันทบุรี แลเต็มท้องทะเลสุดลูกหูลูกพร้อมด้วยธงชาติไทยปลิวไสว  ทหารไทยประจำกราบเรือซ้ายขวาเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังกายและพลังใจที่จะกู้ชาติกู้แผ่นดินคืนมาให้จงได้ 

 

ขบวนกองทัพเรือพระเจ้าตากสินพร้อมทหารกล้าแล่นฝ่ากระแสน้ำ จากจันทบุรี ผ่านระยอง ชลบุรี ผ่านมาทางแม่น้ำบางปะกง ฉะเชิงเทรา  แล้วก็เสด็จยกพลทัพเรือเข้ามาทางปากน้ำเมืองสมุทรปราการ  สองฟากฝั่งแม่น้ำเงียบเหงาวังเวงดุจสุสาน  แม่น้ำเจ้าพระยาอันกว้างใหญ่ไม่มีผู้คน  ไม่มีแม้แต่เรือแพการค้าขาย  ทุกอย่างสลดวังเวงดุจเมืองร้าง 

 

ครั้นล่องเรือเข้าปากน้ำ  เห็นบ้านช่องริมน้ำย่อยยับพังทลายไม่มีชิ้นดี  นี่คือผลจากการกวาดต้อนปล้นสะดมของข้าศึก ที่เข้ามารุกรานบ้านเมืองและประชาชนถึงเพียงนี้  ตลอดระยะทางกองทัพเรือพระเจ้าตากสินพร้อมทหารกล้า  ต่างนิ่งเงียบสะกดกลั้นอารมณ์ภายในที่คุกรุ่น แต่บางคนก็น้ำตาซึมไหลไม่รู้ตัว

 

ณ ป้อมวิไชยเยนทร์  เมืองธนบุรี โดยมี “นายทองอิน” คนไทยคนหนึ่งที่ฝักไฝ่ช่วยเหลือพม่ากระทั่งเสียกรุง  พม่าเห็นความดีความชอบ จึงตั้งให้เป็นรองหัวหน้าและให้เป็นผู้รักษาเมืองธนบุรี เพื่อสอดส่องดูแลคนไทยที่จะทำการแข็งกระด้างกระเดื่อง และเพื่อตัดกำลังชาวกรุงศรีอยุธยาที่อาจจะรวมตัวเป็นก๊กเป็นเหล่าต่อสู้พม่า  อาจจะสั่งซื้ออาวุธปืนจากชาวต่างประเทศที่ส่งมาทางเรือได้

 

 นายทองอินเห็นกองทัพเรือพระเจ้าตากสินล่วงเข้าปากน้ำมาแล้ว  จึงให้ทหารรีบขึ้นไปแจ้งข่าวแก่ “สุกี้พระนายกอง”  ที่ค่ายโพธิ์สามต้น  พร้อมกับสั่งทหารให้รักษาป้อมวิไชยเยนทร์ (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น “ป้อมวิไชยประสิทธิ์”)  และให้คอยรับมือกองทัพเรือพระเจ้าตากสิน แต่พวกที่รักษาป้อมวิไชยเยนทร์  เห็นกองทัพเรือพระเจ้าตากสินมีขบวนเรือนับ ๑๐๐ ลำ ต่างก็สะดุ้งหวาดกลัวไปตามกัน  หากแต่ถูกบังคับจากตัวนายทองอิน  จึงจำเป็นต้องรบพุ่ง 

 

ครั้นทัพเรือพระเจ้าตากสินยกพลขึ้นบกได้  ทะลวงฟันทหารที่รักษาเมืองธนบุรีและพวกของนายทองอิน  พม่าที่รักษาเมืองธนบุรีก็พ่ายแพ้  พระเจ้าตากสินจึงให้จับตัวนายทองอิน คนไทยที่ฝักไฝ่ต่อศัตรูบ้านเมืองฆ่าเสีย  จากนั้นกองทัพเรือพระเจ้าตากสินก็เร่งขึ้นไปยังกรุงศรีอยุธยาโดยเร็ว  และถึงกรุงศรีอยุธยาในค่ำคืนวันนั้น และพักทัพกันในค่ำคืนนั้น

               

วันศุกร์ที่ ๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๓๑๐ ตรงกับเดือน ๑๒ ขึ้น ๑๕ ค่ำ จุลศักราช ๑๑๒๙ ปีกุลนภศก  เช้าตรู่เมื่อมีเสียงไก่ขัน พระเจ้าตากสินสั่งเคลื่อนทัพไปบดขยี้ “ค่ายโพธิ์สามต้น” ทหารกล้าพร้อมอาวุธครบมือ อาทิเช่น ดาบ หอก หลาวแหลน และอาวุธปืน เตรียมพร้อมจะเอาเลือดศัตรู  เพื่อเอาแผ่นดินไทยคืนมา ไม่หวั่นแม้แต่ชีวิตตัวเองปลิดปลิวลงไป ยอมสละชีพเป็นชาติพลี พระเจ้าตากสินสั่งให้ทหารระดมตีค่ายพม่าที่โพธิ์สามต้นให้ชนะให้จงได้

 

เมื่อกองทัพพระเจ้าตากสินและทหารกล้า ถึง “ค่ายโพธิ์สามต้น”  พระองค์สั่งให้ทหารระดมตีค่ายพม่าด้านทิศตะวันออก  แล้วให้ทำบันไดปีนค่ายพม่าฟากตะวันตก ครั้นพร้อมสรรพ ก็ให้พระยาพิพิธ พระยาพิชัย และนายทหารจีน เข้าระดมตีค่ายโพธิ์สามต้นพร้อมกัน รบกันแต่เช้าจนเที่ยง ในที่สุดกองทัพพระเจ้าตากก็เข้าค่ายพม่าได้สำเร็จ ในเวลา ๑๓.๐๐ น.

 

"สุกี้พระนายกอง" แม่ทัพค่ายพม่ายอมสวามิภักดิ์ต่อพระเจ้าตากสิน ไพร่พลที่เหลือตามมองย่าหนีไปได้บ้าง  แต่ที่จับได้และที่เป็นไทยก็ยอมอ่อนน้อมโดยดีเป็นอันมาก

 

หลังเสียกรุงครั้งที่ ๒ พระเจ้าตากสินใช้เวลา ๗ เดือนเศษ ในการกู้ชาติ  ได้ชัยชนะเด็ดขาดแล้ว  กรุงศรีอยุธยาก็กลับคืนสู่อิสรภาพอีกครั้ง ตั้งแต่นั้นมากระทั่งทุกวันนี้

 

ดังนั้น วันที่ ๖ พฤศจิกายน วันสำคัญของชาติไทยที่สมเด็จพระเจ้าตากสินทรง “กู้ชาติไทย” ให้มีอธิปไตยเหนือแผ่นดินอีกครั้ง ทุกเลือดที่หยาดหยดบนแผ่นดินไทย ทุกวีรกรรมบรรพชนผู้กล้า กว่าจะมีแผ่นดินให้ลูกหลานไทยได้ครอบครองอย่างสงบสุขในวันนี้ ด้วยเกียรติคุณที่ยิ่งใหญ่ของ “สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช” และพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์เสียสละความสุขส่วนพระองค์ เพื่อปกป้องดูแลอาณาประชาราษฎร์ให้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขมายาวนานใต้ร่มพระบารมี 

 

ขอน้อมศิระกราน กราบแทบพระยุคลบาท สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอย่างหาที่สุดมิได้

 

ข้าพระพุทธเจ้า ว.วรรณพงษ์

 

ขอบพระคุณ ภาพประกอบจาก "ครูแอนท์ ม้าทมิฬ" เป็นอย่างยิ่ง