๑๘ มกราคม ของทุกปี วันยุทธหัตถี วันสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และวันกองทัพไทย
โดย ว.วรรณพง
ย้อนเหตุการณ์ไป ๔๒๗ ปีมาแล้ว สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงชนะศึกยุทธหัตถี ระหว่างไทยกับพม่า เป็นการต่อสู้บนหลังช้าง ถือเป็นยอดยุทธวิธีการรบอย่างกษัตริย์สมัยโบราณที่สมพระเกียรติยิ่ง
เมื่อปี พ.ศ. ๒๑๓๕ พระเจ้านันทบุเรง โปรดให้พระมหาอุปราชา นำกองทัพทหารสองแสนสี่หมื่นคน มาตีกรุงศรีอยุธยาหมายจะชนะศึกในครั้งนี้ สมเด็จพระนเรศวรทรงทราบว่าพม่าจะยกทัพใหญ่มาตี จึงทรงเตรียมไพร่พล มีกำลังหนึ่งแสนคนเดินทางออกจากบ้านป่าโมกไปสุพรรณบุรี แล้วตั้งค่ายหลวงบริเวณ หนองสาหร่าย จังหวัดสุพรรณบุรี
เช้าวันจันทร์ แรม ๒ ค่ำ เดือนยี่ ปีมะโรง พ.ศ. ๒๑๓๕ ตรงกับวันที่ ๑๘ มกราคม พ.ศ. ๒๑๓๕ สมเด็จพระนเรศวรทรงเครื่องพิชัยยุทธ พระองค์ทรงช้าง นามว่า “เจ้าพระยาไชยานุภาพ” ในระหว่างการรบสมเด็จพระนเรศวร และช้างทรง “เจ้าพระยาไชยานุภาพ” ต่อสู้และวิ่งไล่ตามกองทัพพม่า กระทั่งหลงเข้าไปในเขตกองกำลังทัพหลวงพม่าที่มีนับแสน ครานั้นมีเพียงทหารรักษาพระองค์และจาตุรงค์บาทเท่านั้นที่ติดตามทันเท่านั้น
“สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ” ทรงนิพนธ์พระราชประวัติสมเด็จพระนเรศวรเป็นที่ประทับใจยิ่ง ในตอนนี้ว่าขณะนั้นช้างพระที่นั่งสมเด็จพระนเรศวร กับ ช้างพระที่นั่งสมเด็จพระเอกาทศรถ เป็นช้างชนะงากำลังตกมันทั้งสองช้าง ครั้นเห็นช้างข้าศึกกลับหน้าพากันหนี ก็ออกเล่นไล่ไปโดยเมาน้ำมัน พาพระสมเด็จพระนเรศวรกับสมเด็จพระเอกาทศรถเข้าไปในหมู่ข้าศึก มีแต่จตุลังคบาทกับทหารรักษาพระองค์ตามติดไปเท่านั้น รี้พลที่รบไล่ข้าศึกตามข้างพระที่นั่งไม่ทัน เพราะในขณะนั้นกำลังรบพุ่งกันโกลาหล ฝุ่นฟุ้งตลบจนมืดมัวไปทั่วทิศ พวกนายทัพนายกองไม่เห็นว่าช้างพระที่นั่งไปถึงไหนพวกข้าศึกก็ไม่เห็นพระองค์ถนัด แม้แต่องค์สมเด็จพระนเรศวรเองก็ไม่ทรงทราบว่าไล่ข้าศึกไปถึงไหน
กระทั่งเวลาฝุ่นจาง สมเด็จพระนเรศวรทอดพระเนตรไปเห็น พระมหาอุปราชาทรงพระคชสาร ยืนพักช้างอยู่ในร่มไม้กับข้างท้าวพระยาอีกหลายช้าง จึงทรงทราบว่า ช้างพระที่นั่ง “เจ้าพระยาไชยานุภาพ” นำพาพระองค์ไล่ไปจนถึงกองทัพหลวงของข้าศึก
สมเด็จพระนเรศวรทรงมีพระสติมั่นไม่หวั่นไหวแกล้วกล้าอาจหาญ คิดเห็นในทันทีว่า ทางที่จะเอาชนะได้มีอยู่อย่างเดียว พระองค์จึงขับช้างพระที่นั่ง “เจ้าพระยาไชยานุภาพ” ตรงไปยังหน้าช้างพระมหาอุปราชา ครานั้น สมเด็จพระนเรศวรทรงตรัสไปโดยฐานที่คุ้นเคยกันมาแต่ก่อนว่า
“เจ้าพี่...จะยืนช้างอยู่ในร่มทำไม เชิญเสด็จมาทำยุทธหัตถีกันให้เป็นเกียรติยศเถิด”
****************
ทั้งๆ ที่ขณะนั้น สมเด็จพระนเรศวรทรงช้าง “เจ้าพระยาไชยานุภาพ” พร้อมด้วยพระเอากาทศรถ ทรงช้าง “เจ้าพระยาปราบไตรจักร” พร้อมด้วยจตุลังคบาทกับทหารรักษาพระองค์ตามติดไปน้อยนิดแค่หยิบมือเดียวเท่านั้น อยู่ในท่ามกลางข้าศึกอันเป็นฝ่ายตรงกันข้ามนับแสน ทหารข้าศึกที่สะพรั่งมืดมนจนแลลันตาก็หาทำให้พระองค์ทรงหวาดหวั่นพรั่นพรึงไม่
พระมหาอุปราชาได้ยินดังนั้น จึงไสช้างนามว่า “พลายพัทธกอ” เข้าชนช้าง “เจ้าพระยาไชยานุภาพ” ทันใดนั้นพระมหาอุปราชาทรงฟันสมเด็จพระนเรศวรด้วยพระแสงของ้าว แต่สมเด็จพระนเรศวรทรงเบี่ยงหลบทัน จึงฟันถูกพระมาลาหนังขาด จากนั้นช้าง “เจ้าพระยาไชยานุภาพ” ชน “พลายพัทธกอ” เสียหลัก คราวนี้สมเด็จพระนเรศวรทรงฟันด้วยพระแสงของ้าวถูกพระมหาอุปราชาเข้าที่อังสะขวา สิ้นพระชนม์อยู่บนคอช้าง
ทหารพม่าเห็นว่าแพ้แน่แล้ว จึงใช้ปืนระดมยิงใส่สมเด็จพระนเรศวรได้รับบาดเจ็บ ทันใดนั้นทัพหลวงไทยตามมาช่วยทัน จึงรับพระองค์กลับพระนคร พม่าจึงยกทัพกลับกรุงหงสาวดีไป
สมเด็จพระนเรศวรทรงเป็นยอดนักรบที่เด็ดเดี่ยวกล้าหาญและทรงมีพระปรีชาญาณไหวพริบเป็นเลิศ อย่างไรก็ตาม ควรอย่างยิ่งที่จะยกย่อง “พระมหาอุปราชา” แห่งเมืองพม่าว่า เป็นยอดวีรกษัตริย์พระองค์หนึ่งเช่นกัน ด้วยเป็นสงครามยุทธหัตถีที่เทิดพระเกียรติยศเกรียงไกรสองแผ่นดินอย่างสมพระเกียรติในการทำศึกระหว่างไทยกับพม่าครั้นนั้น นับแต่นั้นมาก็ไม่มีกองทัพใดกล้ายกมากล้ำกรายกรุงศรีอยุธยา ด้วยพระบารมี จึงทำให้แผ่นดินไทยร่มเย็นเป็นสุขว่างเว้นจากการศึกสงครามพม่า เป็นเวลาถึง ๑๐๐ ปีเศษ การทำยุทธหัตถีในครั้งนั้น ถือว่าเป็นการทำยุทธหัตถีที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย
ไม่มีพระองค์ท่าน ไม่มีบรรพบุรุษของเรา และอาจไม่มีเราในวันนี้ สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์เป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้
เชิงอรรค : ๑. พระราชพงศาวดาร ฉบับ พระราชหัตถเลขา กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
๒. สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ประยูร พิศนาคะ, เกษมบรรณกิจ พ.ศ. ๒๕๐๙
๓.สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ. ไทยรบพม่า, อักษรเจริญทัศน์, ๒๕๔๖