วันเสาร์ ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2567 14:08 น.

อื่นๆ » คอลัมน์

แม่ลิ้นจี่พาชิม

แม่ลิ้นจี่ : วันพฤหัสบดี ที่ 03 ตุลาคม พ.ศ. 2562, 07.19 น.

.. แวะชิม “หมูสะเต๊ะ 100 ปี” เจ้าแรกของไทย .. ..สูตรเด็ด 3 เจนเนอเรชั่น..ที่ร้าน “จึง อัง ลัก” (เฉลิมบุรี) ..

 

ถ้าจะพูดถึง “หมูสะเต๊ะ” เชื่อแน่ว่าทุกท่านย่อมรู้จักกันเป็นอย่างดี แต่ถ้าจะถามว่าแล้วอาหารที่เรียกกันว่าหมูสะเต๊ะนั้นมีความเป็นมากันอย่างไร และใครเป็นเจ้าแรกที่ขายหมูสะเต๊ะในเมืองไทย  ก็คงจะมีผู้คนอีกจำนวนมากที่ตอบตรงกันว่า..ไม่รู้..เพื่อเป็นการเล่าสู่กันฟังวันนี้เรามาลองชิมตามรอย “แม่ลิ้นจี่” กันอีกครั้งเพื่อให้รู้ถึงความเป็นมาของเมนูจานนี้ว่าเริ่มต้นกันมาอย่างไร

               

ย้อนอดีตไปเมื่อ 16 ปีที่ผ่านมา คอลัมน์ “แม่ลิ้นจี่พาชิม” ได้เขียนแนะนำร้านนี้ลงในหนังสือพิมพ์บ้านเมืองรายวัน ฉบับวันศุกร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2546 ซึ่งในครั้งนั้น “คุณวงศ์กร เจริญสว่าง” หรือเฮียเล็กทายาทรุ่นที่ 3 วัย 60 ปี ได้บอกเล่าให้แม่ลิ้นจี่ฟังว่า  เมื่อประมาณ 100 ปีที่ผ่านมานั้นอากงได้อพยพมาจากประเทศจีนแผ่นดินใหญ่เข้ามาตั้งรกรากอยู่ในเมืองไทย และได้คิดค้นสูตรการทำหมูสะเต๊ะขึ้นเป็นคนแรกและเปิดร้านขายโดยตั้งชื่อร้านว่า “จึง อัง ลัก” อยู่ข้างโรงภาพยนตร์สิงคโปร์ริมถนนเยาวราช ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นโรงภาพยนตร์เฉลิมบุรี และในปัจจุบันโรงภาพยนตร์เฉลิมบุรีได้ถูกรื้อทิ้งและสร้างเป็นอาคารที่จอดรถมากว่า 20 ปี

               

จากรุ่นอากงได้ตกทอดสูตรเด็ดในการทำหมูสะเต๊ะมาสู่รุ่นเตี่ยของเฮียเล็ก แต่ยังคงเปิดขายอยู่ข้างโรงภาพยนตร์เฉลิมบุรีเหมือนเช่นเดิม ซึ่งเป็นเจ้าแรกและเจ้าเดียวในย่านนั้น ต่อมาบรรดาลูกจ้างที่ร้านได้นำสูตรการปรุงออกมาเปิดร้านขายแข่งอยู่ใกล้เคียงกันถึง 5-6 ร้าน เมื่อมีหลายร้านการแข่งขันก็สูงขึ้นจนบางร้านต้องหาหน้าม้าคอยเรียกลูกค้าอยู่หน้าร้านจนถึงขนาดดึงมือดึงแขนลูกค้าเข้าร้านเลยก็ยังมี เฮียเล็กได้บอกเล่าต่อไปว่ามีหลายคนยังเข้าใจผิดว่าหมูสะเต๊ะนั้นเป็นอาหารที่มีต้นตำรับมาจากเมืองจีน ความจริงแล้วเป็นสูตรที่อากงคิดค้นทำเป็นคนแรกโดยจะสังเกตได้จากเครื่องปรุงที่ส่วนใหญ่นั้นจะเป็นเครื่องเทศและสมุนไพรของไทยซึ่งในเมืองจีนไม่มี เช่น ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด หอมแดง พริก ขมิ้น งา เป็นต้น

               

 

และจากรุ่นเตี่ยจึงได้ตกทอดสูตรเด็ดมาสู่ทายาทรุ่นที่ 3 นั่นก็คือเฮียเล็ก ซึ่งต่อมาเมื่อโรงภาพยนตร์เฉลิมบุรีได้ถูกรื้อทิ้งเฮียเล็กจึงได้ย้ายมาเปิดร้านใหม่ได้นานกว่า 20 ปี โดยมีภรรยาคือ “คุณดวงตา  เจริญสว่าง” ช่วยกันค้าขายเป็นธุรกิจแบบครอบครัว ซึ่งร้านนี้จะเป็นอาคารตึกแถวหนึ่งคูหาตั้งอยู่ริมถนนพระราม 4 โดยใช้ชื่อเดิมว่าร้านจึง อัง ลัก (เฉลิมบุรี) ซึ่งก็ยังคงขายดิบขายดีมีลูกค้าทั้งเก่าและใหม่ตามมาอุดหนุนกันมากมาย นอกจาก “หมูสะเต๊ะ” เมนูสร้างชื่อของที่นี่แล้วก็ยังมีอาหารโบราณ “ข้าวพระรามลงสรง” และ “กระเพาะปลาน้ำแดง” รวมถึง “ข้าวหมูแดง” และ “ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลา” ให้ลูกค้าได้เลือกสั่งอีกหลายชนิด เมื่อรับทราบข้อมูลของร้านกันพอสมควรแล้วทีนี้ก็ถึงเวลาที่เราจะมาดูกันว่าที่ร้านนี้จะมีอะไรที่น่าลิ้มลองกันบ้าง..มาเริ่มต้นจานแรกกันที่

               

 

หมูสะเต๊ะ.. มาถึงร้านนี้ทั้งทีถ้าไม่ได้ชิมเมนูนี้ก็เหมือนไม่ได้มา เขาจะใช้เนื้อหมูสันนอกแล่เป็นชิ้นยาวหนาหมักด้วยขมิ้นและเครื่องปรุงนานกว่า 2 วัน ก่อนนำไปเสียบไม้ย่าง เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มหมูสะเต๊ะที่มีส่วนผสมของตะไคร้ ใบมะกรูด กระเทียมไทย รากผักชี เมล็ดผักชี ผิวมะกรูด หอมแดง พริกแห้ง ถั่วลิสงและงาขาว น้ำตาลปีบ เกลือป่น โขลกละเอียดนำไปผัดจนได้ที่หอมกรุ่นเสิร์ฟมาพร้อมอาจาด ซึ่งที่นี่เขาจะขายหมูสะเต๊ะในราคาชุดเล็ก10 ไม้  ราคา 80 บาท ขนมปังปิ้งแผ่นละ 10 บาท

               

ข้าวพระรามลงสรง..เป็นอาหารโบราณที่น่าสั่งมาลิ้มลอง โดยเขาจะนำน้ำพระรามลงสรงที่มีหน้าตาคล้ายน้ำจิ้มสะเต๊ะราดมาบนข้าวสวยร้อนๆ โรยหน้าด้วยผักบุ้งจีนลวกสุก เนื้อหมูหมัก น้ำพริกเผาทำเอง ความอร่อยอยู่ที่น้ำราดรสหวานเค็มเล็กน้อย และรสหอมมันจากงาคั่วและถั่วลิสงป่น  เนื้อหมูนุ่มเนียนหอมกลิ่นน้ำกลิ่นน้ำพริกเผา ในราคาจานละ 50 บาท พิเศษ 60 บาท

               

กระเพาะปลาน้ำแดง..เขาจะเลือกใช้กระเพาะปลาเกรดเอลอนใหญ่ไร้กลิ่นหืน  ก่อนนำไปต้มในน้ำซุปที่ต้มเคี่ยวจากกระดูกไก่นานกว่า 8 ชั่วโมง ใส่เห็ดหอม น้ำซอสปรุงรส เพิ่มความเหนียวข้นด้วยแป้งมันฮ่องกง เสิร์ฟใส่ชามมาร้อนๆ โรยหน้าด้วยเนื้อปูก้อนและกรรเชียงปูแบบไม่กลัวขาดทุน ในราคาชามละ 90 บาท พิเศษ 110 บาท

               

 

ก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟ..เขาจะมีให้เลือกสั่งสารพัดเส้น ใส่ผัดบุ้งลวกสุก  ลูกชิ้นปลา ฮือก้วย หมึกกรอบ ซอสเย็นตาโฟ ราดด้วยน้ำซุปร้อนกรุ่นหอมกลิ่นซอสเย็นตาโฟ ความอร่อยอยู่ที่เส้นก๋วยเตี๋ยวลวกสุกนุ่มกำลังดี และสารพัดลูกชิ้นคุณภาพดีไม่มีกลิ่นคาว บวกกับน้ำซุปรสกลมกล่อมที่ใช้เวลาต้มเคี่ยวมาครึ่งค่อนวัน ในราคาแค่ชามละ 50 บาท พิเศษ 60 บาท

               

 

สะดวกกันเมื่อไรก็ขอเชิญแวะเวียนมาเยี่ยมชิมกันได้ ร้านจึง อัง ลัก (เฉลิมบุรี) จะเปิดบริการกันทุกวันไม่มีวันหยุด ตั้งแต่เวลา 08.00-17.00 น. สถานที่ตั้งของร้านจะอยู่ริมถนนพระราม 4 กทม. ข้างธนาคารกรุงเทพฯ สาขาลุมพินี นอกจากนี้ยังมีบริการรับออกร้านนอกสถานที่ หรือโทรศัพท์มาสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 08-1918-3195 และ 08-9481-5531 แล้วพบกับ “แม่ลิ้นจี่พาชิม” ปีที่ 18 ได้ใหม่ใน “บ้านเมือง ออนไลน์” ครั้งต่อไปนะคะ