วันเสาร์ ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2567 06:15 น.

การศึกษา

ผู้เชี่ยวชาญสมุนไพร แนะไทยพัฒนานวัตกรรมการปลูกให้ได้คุณภาพ

วันพุธ ที่ 03 กรกฎาคม พ.ศ. 2562, 12.01 น.

ผู้เชี่ยวชาญสมุนไพร แนะไทยพัฒนานวัตกรรมการปลูกให้ได้คุณภาพ

                

รศ.ดร.สุรพจน์ วงศ์ใหญ่ ผู้เชี่ยวชาญสมุนไพรของสหประชาชาติ และอาจารย์ประจำวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า ประเทศไทยมีการใช้สมุนไพรเพื่อการรักษามานาน  บรรพบุรุษได้สั่งสมองค์ความรู้ด้านนี้มาอย่างต่อเนื่อง โดยกระทรวงสาธารณสุขได้มีการออกประกาศ กระทรวงฯ คุ้มครองตําราการแพทย์แผนไทยของชาติ 198 ตํารา และตํารับยาแผนไทยของชาติ 30,000 ตํารับ ตํารายาสมุนไพรที่สําคัญ เช่น “แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์” ซึ่งเป็นตําราที่ล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 ทรงมีพระราชดําริให้รวบรวมไว้กว่า 1,200 ตํารับ และยังมีตํารายาวัดโพธิ์ที่รวบรวมจากจารึก ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นต้น ซึ่งจากเอกสารและจารึกเหล่านี้เป็นสิ่งยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า ประเทศไทยมีการรักษาโรคด้วยยาสมุนไพรมานาน แต่เมื่อยาเคมีจากต่างชาติเริ่มเข้ามามีบทบาทในวิถีชีวิตคนไทย ทําให้ความนิยมใช้ยาสมุนไพรลดน้อยลง

 

ภก.รศ.ดร.สุรพจน์ กล่าวว่า ประเทศไทยขาดโอกาสทางการแข่งขันในตลาดยารักษาโรคไปอย่างน่าเสียดาย  ทั้งที่ประเทศไทยมีวัตถุดิบคือ สมุนไพรที่มีคุณภาพ มีสารสําคัญที่จะสกัดออกมา แปรรูปเป็นยาสมุนไพรที่มีมูลค่าสูง แต่ด้วยปัญหาคือ การขาด Know-How เทคโนโลยีสมุนไพรขั้นสูง ซึ่งทําให้ไม่สามารถสร้างนวัตกรรมยาสมุนไพรได้ ตั้งแต่ต้นน้ำคือ การคุมการปลูกพืชสมุนไพรให้ได้คุณภาพ ตัวยาสม่ำเสมอ การขาดเทคโนโลยีการสกัดและการผลิตที่ทันสมัยเพื่อรักษาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ให้ได้ตามมาตรฐานสากล อันจะทําให้สามารถส่งไปจําหน่ายได้ทั่วโลก

 

“เวลานี้กระแสความต้องการสมุนไพรเพิ่มขึ้นสูงมากในตลาดโลก เพราะสมุนไพรช่วยทั้งการรักษาโรคป้องกันและส่งเสริมสุขภาพ ประเทศเรามีสมุนไพรมากมายและหลากหลาย แต่ขาดการสร้างนวัตกรรม เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่ดีมีคุณภาพ ประสิทธิภาพและปลอดภัย ในขณะที่การผลิตหัวผลิตภัณฑ์ต้องไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และการปลูกสมุนไพรต้องปลอดจากสารเคมี หากต้องการแข่งขันในตลาดโลกจะต้องเร่งพัฒนานวัตกรรมทั้งการปลูกสมุนไพรให้ได้คุณภาพสม่ำเสมอ ปลอดสารพิษ ไม่ใช้สารเคมี และต้องมีกระบวนการผลิตที่ได้คุณภาพเป็นที่ยอมรับ มีการวิจัยเพื่อยืนยันว่าเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่ดีจริงๆ หากทําได้ก็จะสร้างรายได้ให้แก่ประเทศอย่างมหาศาล”

                

ส่วนเหตุที่ทําให้ความต้องการใช้ยาสมุนไพรเพิ่มมากขึ้นนั้น ภก.รศ.ดร.สุรพจน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เวลานี้ยาเคมีกําลังประสบปัญหาหลายประการ กล่าวคือ การวิจัยและพัฒนายาใหม่แต่ละตัวนั้นต้องสูงทุนสูงมาก และต้องใช้เวลานาน ยาเคมีบางชนิดก็จะมีอาการข้างเคียงที่เป็นพิษ ไม่สามารถนําวัตถุดิบเคมีในกระบวนการสังเคราะห์ที่ใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่ได้ โรงงานที่สังเคราะห์ตัวยาเคมีอาจก่อมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม ยาเคมีมีราคาแพงทําให้ประชาชนเข้าถึงยาก โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศกําลังพัฒนา นอกจากนั้นยังมีข้อจํากัดในประสิทธิภาพการรักษา โดยเฉพาะการรักษากลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรังบางชนิดที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เช่น โรคหัวใจหลอดเลือด ความดันโลหิตสูง เบาหวาน มะเร็ง เป็นต้น

 

“ปัจจุบันมีคนป่วยด้วยไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ NCDs อาทิ มะเร็ง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หัวใจหลอดเลือด โรคระบบทางเดินหายใจ โรคทางสมอง โรคซึมเศร้ากันมากขึ้น โดยกลุ่มโรคเหล่านี้ เป็นสาเหตุการเสียชีวิตของประชากรโลก 70% องค์การอนามัยโลก คาดการณ์ว่าในปี พ.ศ. 2593 จะมีประชากรครึ่งโลก คือกว่า 4,650 ล้านคน ป่วยด้วยโรค NCDs อย่างน้อยคนละ 1 โรค อันจะก่อให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจจากค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่สูงขึ้นอย่างมากมาย ทั้งระดับประเทศและระดับโลก กล่าวได้ว่าศตวรรษที่ 21 นี้ ที่เกิดวิกฤติด้านสุขภาพของโลกและเป็นหนึ่งในปัจจัยสําคัญที่ส่งผลกระทุบให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ดังนั้น จึงต้องเร่งรีบแก้ไขปัญหาแบบ องค์รวม เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้น นอกจากนั้นด้วยสังคมมีแนวโน้มเข้าสู่ยุคสังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มตัว ทุกฝ่ายต้องช่วยกันเพื่อให้เป็นผู้สูงอายุที่สุขภาพดี ไม่เป็นภาระให้แก่ลูกหลาน ซึ่งการใช้สมุนไพรก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นในปัจจุบันและอนาคต"

                

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้รัฐบาลได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ปีพุทธศักราช 2560 มาตรา 55 ว่าด้วยการสนับสนุนให้มีการพัฒนาด้านการแพทย์แผนไทยในการบริการสุขภาพ โดยบัญญัติไว้ว่า รัฐต้องดําเนินการให้ประชาชนได้รับบริการสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพอย่างทั่วถึง เสริมสร้างให้ประชาชนมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรค และส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการพัฒนาภูมิปัญญาด้านแพทย์แผนไทยให้เกิดประโยชน์สูงสุด บริการสาธารณสุขต้องครอบคลุมการส่งเสริมสุขภาพ การควบคุมและป้องกันโรค การรักษาพยาบาส และการฟื้นฟูสุขภาพด้วย รัฐต้องพัฒนาการบริการสาธารณสุขให้มีคุณภาพและมีมาตรฐานสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมาตรา 69 ว่าด้วยเรื่อง การส่งเสริมการสร้างนวัตกรรมเพื่อสร้างเศรษฐกิจให้กับ ประเทศ และการสร้างนวัตกรรมยาสมุนไพรก็นับเป็นโอกาสทองของคนไทย

 

“ การที่รัฐบาลได้ให้การสนับสนุนการพัฒนาสมุนไพรไทยนั้นนับเป็นเรื่องที่ดี ทําให้เปิดโอกาสให้มีการศึกษาวิจัย ค้นคว้าสมุนไพรมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม การพัฒนาจะต้องได้รับความร่วมมือจากหลายๆ ภาคส่วนมาทำงานร่วมกัน และปฏิบัติให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ต้องเรียนรู้ว่าตลาดโลกต้องการอะไร แล้วดําเนินการกําหนดกฎเกณฑ์เพื่อผลิตสินค้าให้ได้มาตรฐาน มีการขึ้นทะเบียนตํารับยาสมุนไพรไทยเพื่อการส่งออก หากทําสําเร็จและได้ผลจริงก็จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติอย่างแท้จริง เพราะประชาชนทุกภาคส่วนได้ประโยชน์ เป็นการต่อยอดสร้างเศรษฐกิจของประเทศ บนพื้นฐานที่เป็นจุดแข็งของประเทศเรา จะช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นผู้นําของโลกด้านยาสมุนไพรต่อไป

 

ประเทศไทยมีวัตถุดิบดีคือ สมุนไพรหลากหลายประเภท มีตํารับยาดีที่สืบทอดต่อกันมาหลายร้อยปีของบรรพบุรุษไทย แต่สิ่งที่ยังขาดคือ Know-How หากได้รับการส่งเสริมอย่างจริงจัง จะทําให้ประเทศไทยมีความก้าวหน้าได้มากกว่านี้ เพราะมีพื้นฐานที่ได้เปรียบกว่าหลายๆ ประเทศคือ มีความหลากหลายทางชีวภาพสมุนไพรสูงมาก มีตํารับยาสมุนไพรจํานวนมากที่บันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร และเวลานี้หน่วยงานรัฐได้เปิดกว้างในการศึกษาวิจัยสมุนไพรเพื่อ ใช้ทางการแพทย์มากขึ้น จึงเป็นโอกาสดีที่จะได้มีการพัฒนา สมุนไพรไทยอย่างยั่งยืนอีกทางหนึ่ง” ภก.รศ.ดร.สุรพจน์ วงศ์ใหญ่ กล่าว

หน้าแรก » การศึกษา