วันอังคาร ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2568 12:51 น.

การศึกษา

"ดร.ณพลเดช" ชี้มติ มส. ตั้งคณะกรรมการจัดการทรัพย์สินวัด อาจช่วยแก้ปัญหาศาสนสมบัติได้ในระยะยาว 

วันจันทร์ ที่ 04 สิงหาคม พ.ศ. 2568, 15.38 น.

มติดังกล่าวของมหาเถรสมาคม ไม่ได้มุ่งลดอำนาจเจ้าอาวาส แต่เพื่อเพิ่มธรรมาภิบาลในการบริหารวัด ดร.ณพลเดชเผย มาตรการนี้หากทำความเข้าใจให้ดี อาจช่วยป้องกันปัญหาเงินวัดและฟื้นศรัทธาในพระพุทธศาสนา 

เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2568     ที่อาคารรัฐสภา ดร.ณพลเดช มณีลังกา ที่ปรึกษากรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม และที่ปรึกษาผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการประชุมของมหาเถรสมาคม ครั้งที่ 19/2568 ซึ่งมีมติเห็นชอบให้วัดทุกแห่งแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการทรัพย์สินของวัด พร้อมนำระบบบัญชีวัดของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติมาใช้ โดยมีเสียงคัดค้านจากบางวัดที่เห็นว่าอำนาจควรเป็นของเจ้าอาวาสเท่านั้น และไม่ควรให้ฆราวาสเข้ามามีบทบาทตัดสิน ซึ่งเป็นประเด็นที่มีการถกเถียงกันอย่างกว้างขวางนั้น

ดร.ณพลเดช เปิดเผยว่า จากแหล่งข่าว มติดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนเจ้าอาวาส และสามารถปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของแต่ละวัด วัดใดยังไม่พร้อมก็ให้ดำเนินการเท่าที่สามารถทำได้ แต่มีความเข้าใจผิดในสังคมว่ามติดังกล่าวเป็นการบังคับใช้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มีการเผยแพร่มติดังกล่าวอย่างเป็นทางการ จึงอาจทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนและวิพากษ์วิจารณ์ก่อนเห็นเนื้อหาที่แท้จริง 

ในความเห็นของตนนั้น การบริหารศาสนสมบัติควรยึดหลักธรรมาภิบาลและสอดคล้องกับพระธรรมวินัย โดยวัดขนาดใหญ่หรือพระอารามหลวงควรตั้งคณะกรรมการบริหารศาสนสมบัติ มีเจ้าอาวาสเป็นประธาน และคัดเลือกกรรมการจากพระภิกษุ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงิน ผู้แทนชุมชน และไวยาวัจกร เพื่อให้ข้อเสนอแนะและกลั่นกรองการบริหารอย่างมีส่วนร่วมและโปร่งใส ส่วนวัดทั่วไปสามารถปรับใช้ตามศักยภาพของตน โดยต้องไม่กระทบต่ออำนาจหน้าที่ของเจ้าอาวาสตามพระธรรมวินัย หากมีข้อขัดข้องสามารถขอคำปรึกษาจากเจ้าคณะหรือสำนักงานพระพุทธศาสนาได้

ทุกวัดควรดำเนินงานตามมาตรฐานบัญชีที่มหาเถรสมาคมกำหนด เช่น การเปิดบัญชีธนาคาร การจัดทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย เพื่อความโปร่งใสและตรวจสอบได้เช่นเดียวกับแนวทางในต่างประเทศ ส่วนบัญชีส่วนบุคคลจะถูกตรวจสอบเฉพาะเมื่อมีความยินยอมหรือกรณีมีคดีอาญา เพื่อคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคลของพระภิกษุ

ดร.ณพลเดช กล่าวต่อไปว่าสำหรับบางวัดที่กังวลว่าพระสงฆ์ที่ถูกแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการ อาจต้องคดีในกฎหมายอันถือเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐไปด้วยนั้น ในทางกฎหมาย หากพิจารณาถึงเจ้าคณะผู้ปกครองแล้ว ตามกฎหมาย พระสงฆ์และพระผู้ปกครองไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของรัฐตามกฎหมายปกครอง จึงไม่อยู่ในอำนาจของ ปปท. ปปช. หรือ สตง. แต่ถือเป็นพระชั้นปกครองเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา หากมีประเด็นเกี่ยวกับการกระทำผิดก็จะต้องดำเนินการตามกฎหมายอาญาเท่านั้น หากวิเคราะห์ตามความเป็นจริง กฎหมายอาญาครอบคลุมถึงประชาชนทั่วไปและกลุ่มบุคคลอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามตนเชื่อว่าแนวทางที่เสนอ จะยึดหลักพระธรรมวินัยเป็นสำคัญ โดยให้เจ้าอาวาสยังคงมีอำนาจหลักในการบริหารวัด แต่เสริมด้วยระบบตรวจสอบและการมีส่วนร่วม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความโปร่งใส ซึ่งหลายวัดก็ใช้กระบวนการเหล่านี้อยู่แล้ว และยังจะส่งเสริมให้เกิดธนาคารพุทธ ซึ่งเป็นข้อเรียกร้องของชาวพุทธในอดีตที่ผ่านมา

ดร.ณพลเดช เน้นย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมือระหว่างคณะสงฆ์ รัฐบาล และภาคประชาชน โดยทุกฝ่ายควรยึดหลักพระธรรมวินัย กฎหมาย และธรรมาภิบาล เพื่อให้การบริหารศาสนสมบัติวัดเป็นไปอย่างโปร่งใส มีส่วนร่วม และตอบโจทย์ความต้องการของพระภิกษุสามเณรและชุมชน สำหรับระเบียบถ้าหาก ตึงเกินไปก็อาจจะปรับตามบริบท ซึ่งจะสร้างความมั่นใจให้แก่สังคม และการรักษาพระพุทธศาสนา รวมถึงป้องกันการโจมตีจากกรณีต่าง ๆ เช่น กรณีสีกา ก. ที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลกระทบต่อวงการพระพุทธศาสนาและทำให้เจ้าคณะชั้นปกครองจำนวนมากต้องลาสิกขาเป็นจำนวนมาก

หน้าแรก » การศึกษา