วันศุกร์ ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2568 02:01 น.

การศึกษา

พลังใจจากแชมป์โลก สู่แรงขับเคลื่อนเกษตรกรโคนมราชบุรี “โอปอ - ธภัทรวัฒน์” กับบทบาทใหม่ที่ไม่เคยหยุดท้าทาย

วันอังคาร ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2568, 21.28 น.

พลังใจจากแชมป์โลก สู่แรงขับเคลื่อนเกษตรกรโคนมราชบุรี “โอปอ - ธภัทรวัฒน์” กับบทบาทใหม่ที่ไม่เคยหยุดท้าทาย

        

ในทุกเส้นทางชีวิต เราต่างมีเป้าหมายและแรงบันดาลใจเป็นของตัวเอง สำหรับ “โอปอ–ธภัทรวัฒน์ โจสรรค์นุสนธิ์” ศิษย์เก่าสาขาการเงินและการลงทุน วิทยาลัยบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยรังสิต เรื่องราวชีวิตของเขาเปรียบเสมือนการเดินทางที่หลอมรวมความฝัน ความรับผิดชอบ และความรักที่มีต่อครอบครัวไว้ในเส้นเดียวกัน จากอดีตนักกีฬาเจ็ตสกี ผู้คว้าแชมป์โลก สู่บทบาทใหม่ในฐานะผู้ช่วยผู้จัดการศูนย์รับน้ำนมดิบที่ดำเนินสะดวกและจอมบึง จังหวัดราชบุรี นับเป็นก้าวสำคัญของการเติบโต ที่สะท้อนพลังของการเลือกเดินตามฝันและหน้าที่ในเวลาเดียวกัน

 

จุดเริ่มต้นของการเลือกเรียนบริหารธุรกิจ

        

โอปอย้อนเล่าถึงการตัดสินใจเลือกเรียนที่วิทยาลัยบริหารธุรกิจ ให้ฟังว่า หลักสูตรการบริหารธุรกิจเป็นศาสตร์ที่ยืดหยุ่นและสามารถนำไปใช้ได้จริงในทุกบริบทของชีวิต ช่วงวัยเรียนของโอปอไม่ธรรมดา เพราะนอกจากเรียนแล้ว เขายังเป็นนักกีฬาเจ็ตสกีควบคู่กับการช่วยคุณแม่ทำงาน เพื่อน ๆ เรียกเขาว่า ‘โอปอคิวทอง’ เขาต้องจัดตารางชีวิตชัดเจน แพลนไว้ล่วงหน้าทุกอาทิตย์ว่าช่วงไหนเรียน ช่วงไหนซ้อมกีฬา หรือทำงานความมีวินัยและการบริหารเวลาอย่างเป็นระบบ เป็นทักษะสำคัญที่ติดตัวเขามาจนถึงทุกวันนี้

        

“การเรียนหลักสูตรนี้ เหมือนเป็นการวางรากฐานให้ตัวเองสามารถประยุกต์ใช้กับการทำงาน และยังตอบโจทย์กับธุรกิจของที่บ้านอีกด้วย”

 

จากสนามแข่ง สู่เส้นทางธุรกิจครอบครัว

        

แม้จะรักกีฬาเจ็ตสกี แต่หลังเรียนจบโอปอเลือกกลับมาสานต่อธุรกิจของครอบครัวเป็นหลัก แต่ทว่าในพาร์ทของการเป็นนักกีฬา ยังคงเป็นฝันที่เขาไม่เคยทอดทิ้งและยังคงทุ่มเทให้การซ้อมอย่างเต็มที่ในฐานะนักกีฬาทีมชาติชุดซีเกมส์ด้วยเช่นกัน

        

อปอเล่าต่อว่า ในบทบาทผู้ช่วยผู้จัดการ เขารับไม้ต่อจากคุณแม่ ดูแลทั้งงานบัญชี ประสานงานกับเกษตรกร และเจรจากับโรงงานผู้รับซื้อ เขายอมรับว่าจากทฤษฎีในห้องเรียนสู่การทำงานจริงนั้นแตกต่างราวกับ “หนังคนละม้วน” สิ่งที่ต้องเรียนรู้มากที่สุดคือการปรับความคิด จากความไฟแรงที่อยากเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง ไปสู่การรับฟังคนอื่นให้มากขึ้น เห็นเหตุผล และหาทางสายกลางให้ได้ ความรู้ด้านการเงินและการลงทุนที่เรียนมา ช่วยให้เขาสามารถอ่านแนวโน้มเศรษฐกิจ และวางแผนอนาคตของธุรกิจได้ดีขึ้น

        

“ปัญหาสำคัญในตอนนั้น คือ ‘ราคาที่ไม่เป็นธรรม’ เพราะสหกรณ์รับซื้อนมในราคาต่ำกว่าที่ควร คุณพ่อจึงตัดสินใจเปิดศูนย์รับน้ำนมดิบของตัวเอง และให้ราคาที่สูงกว่าสหกรณ์ เพื่อคืนความยุติธรรมให้เกษตรกรรอบข้าง จากจุดเล็ก ๆ ที่ดำเนินสะดวก ศูนย์ก็ขยายมายังจอมบึง เพราะเกษตรกรต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการขับรถไปส่งนมไกลวันละหลายชั่วโมง การเปิดศูนย์ที่นี่ไม่เพียงแค่ช่วยประหยัดค่าเดินทาง แต่ยังทำให้น้ำนมมีคุณภาพที่ดียิ่งขึ้น เพราะส่งได้เร็ว ไม่สูญเสียความสดใหม่ระหว่างการเดินทาง” โอปอเล่าด้วยความตื้นตันใจ

 

เกณฑ์ที่มากกว่ามาตรฐาน คือความใส่ใจต่อเกษตรกร

        

แม้ศูนย์จะรับซื้อน้ำนมในราคาดีกว่า แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะรับทุกอย่างโดยไม่มีเงื่อนไข เพราะโอปอให้ความสำคัญสูงสุดกับ “คุณภาพและความสะอาด” เกษตรกรที่นำน้ำนมมาส่งต้องผ่านการตรวจค่าเชื้อจุลินทรีย์และค่าเชื้อเต้าอักเสบ ซึ่งสองอย่างนี้เป็นตัวชี้วัดมาตรฐานหลักของน้ำนม แต่สิ่งที่ทำให้ศูนย์นี้แตกต่างจากที่อื่นคือ วิธีการจัดการเมื่อเจอนมไม่ได้คุณภาพ แทนที่จะ “ตีทิ้ง” ซึ่งทำให้เกษตรกรสูญเสียรายได้ ศูนย์เลือกใช้วิธี “ปรับลดราคา” แทน เช่น จาก 20 บาท อาจเหลือ 19 หรือ 18 บาท วิธีนี้ไม่เพียงช่วยบรรเทาความเสียหาย แต่ยังสะท้อนถึงความเข้าใจและเมตตาที่มีต่อเกษตรกร

 

หลักการที่พ่อสอน : ใจเขาใจเรา

        

ท่ามกลางความผันผวนของราคาน้ำนมและนโยบายต่าง ๆ โอปอมีหลักคิดที่ยึดไว้เสมอ นั่นคือคำสอนของคุณพ่อ “ใจเขาใจเราลูก เราหย่อนลงมาครึ่งหนึ่ง เกษตรกรหย่อนลงมาครึ่งหนึ่ง แล้วมาเจอกันตรงกลาง” สำหรับโอปอ เกษตรกรไม่ใช่ “ลูกค้า” แต่คือ “คู่ค้า” การเติบโตจึงต้องวินวินทั้งสองฝ่าย “ถ้าเกษตรกรอยู่ได้ เราก็อยู่ได้” ความคิดนี้สะท้อนความรับผิดชอบที่ลึกซึ้งต่อชุมชนและผู้คนรอบข้าง

        

แม้วันนี้จะเป็นเพียงจุดเริ่มต้นที่เขาพึ่งเริ่มทำงานได้อย่างเต็มตัว แต่โอปอวางแพลนในอนาคตไว้ว่า อยากต่อยอดธุรกิจของครอบครัวไปสู่การสร้างผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นนมกล่อง ไอศกรีม หรือสินค้าอื่น ๆ ที่มาจากน้ำนมดิบคุณภาพของเกษตรกรไทย แต่เหนือสิ่งอื่นใด “เป้าหมายในชีวิต” ของโอปอ คือการได้ดูแลพ่อแม่ให้ดีที่สุด

        

เรื่องราวของโอปอสะท้อนว่า ความสำเร็จไม่ได้เกิดจากการไล่ตามความฝันเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกิดจากการ “สานต่อ” และ “ส่งต่อ” ความรักและความรับผิดชอบที่มีต่อครอบครัวและชุมชน ศูนย์รับน้ำนมดิบแห่งนี้ จึงไม่ใช่เพียงการทำธุรกิจ แต่คือการสร้าง “พื้นที่แห่งความหวัง” ให้เกษตรกรไทยได้ลืมตาอ้าปาก ท่ามกลางความเหน็ดเหนื่อยและความไม่มั่นคงของตลาด โอปอไม่เพียงมองเห็นคุณค่าของหยดนม แต่ยังมองเห็นคุณค่าของ “คน” ที่อยู่เบื้องหลัง และแม้อุปสรรคจากนโยบายใหม่จะหนักหน่วงเพียงใด ความร่วมมือและความใส่ใจแบบนี้ก็ยังเป็นแสงสว่างที่ทำให้เกษตรกรไทยเชื่อมั่นได้ว่า เส้นทางนี้ยังมีอนาคต

 

หน้าแรก » การศึกษา