วันจันทร์ ที่ 04 สิงหาคม พ.ศ. 2568, 09.54 น.
‘Prince of Eurasia’ สารคดีโลกวัฒนธรรมยูเรเซีย อำนวยการผลิตโดย “ท่านอิสลามมีร์ซา”
สำหรับคนที่ติดตามหนังต่างประเทศ สไตล์อินดี้ แนว nonfiction ที่ไม่ใช่นวนิยาย แต่สร้างจากเรื่องจริง ก็อาจทราบดีว่าล่าสุดมีข่าวเกี่ยวกับหนังที่ไม่ธรรมดาออกมา หนังสารคดีที่รวบรวมข้อมูลความจริงจากภาพยนตร์และคำสอนทางเทวศาสตร์ โดย “ท่านอิสลามมีร์ซา ยูเรเชีย” นักบวชอิสลามเจ้าของสมญานาม "Papa Eurasia” (ป๊าป๋ายูเรเซีย) หรือ “Prince Oak Oakleyski" ร่วมมือกับทีมนักวิชาการระดับสากลโลก ทำตำราสารคดีต้นฉบับ ต้นตำรับ Prince of Eurasia กับผู้เชี่ยวชาญด้านการแปลภาษาต่างๆ หนังมีสาระเกี่ยวข้องกับศาสนศาสตร์คำบัญญัติอาเทศที่ถูกเทศน์โดยปรมาจารย์ศาสนา อย่างที่หลายคนเรียกว่า “อุลามาอฺ” ศาสนนาม “ซัยยิดพี่โอ๊ค” สอนภาษาอังกฤษกับศาสนา เทศนาสัจธรรมผ่านภาพยนตร์สารคดีเชิงเทววิทยากับภววิทยา "Prince of Eurasia: Monotheism and Devils" กำหนดการออกอากาศทั่วโลกปลายปีนี้
หนังสารคดีนี้นำเสนอการผสมผสานอันน่าทึ่งระหว่างเรื่องราวชีวิต ประวัติศาสตร์ และแนวคิดปรัชญาที่เชื่อมโยงตะวันออกกับตะวันตก ด้วยมุมมองที่แปลกใหม่และน่าสนใจ มีการนำเสนอมุมมองเชิงวัฒนธรรมและปรัชญาที่ไม่เคยมีการกล่าวถึงมาก่อน ที่น่าสนใจเป็นพิเศษสำหรับผู้คนชาวเอเชีย คือการนำเสนอมุมมองที่สามัคคี ให้เห็นถึงความสอดคล้อง ระหว่างหลักธรรมในพุทธศาสนา และอาเทศของอิสลามสาย "ซุนนีซูฟี" ในแบบของศาสนสำนักอิสลามมีร์ซา ยูเรเชีย ซึ่งมีการยกย่องและอ้างอิงถึงสัจธรรมในพระพุทธศาสนาอย่างให้เกียรติ เป็นการช่วยสร้างสะพานเชื่อมความเข้าใจระหว่างศาสนาที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในสังคมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ปัจจุบัน แถมยังมีชีวประวัติที่น่าอัศจรรย์ของนักบวชอิสลามลึกลับ ท่านอิสลามมีร์ซาเป็นนักบวชซุนนีซูฟีที่ไม่ค่อยเปิดเผยตัวตนออกสื่อและไม่เล่นโซเชียลมีเดีย เพราะท่านเป็นคนประเภทหัวโบราณอนุรักษ์นิยม ซัยยิดพี่โอ๊คมีความมหัศจรรย์ตรงที่เป็นทายาทศาสดาแท้ๆ พันธุกรรมฟีโนไทป์และจิตวิญญาณของท่านอิสลามมีร์ซาฯสืบเชื้อสายโดยตรงจากท่านศาสดามูฮัมหมัด และ “al-Khadr” (อัลค็อฎรฺ) ศาสดาผู้ลึกลับที่ถือว่าเป็นผู้วิเศษซึ่งสามารถเดินทางข้ามกาลเวลา มีประวัติท่านศาสดา Khidr เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยเมโสโปเตเมีย (ดินแดนอิรัก) แล้วท่านศาสดามูฮัมหมัดที่มาทีหลังคือศาสดาท่านสุดท้ายในโลกนี้

สารคดีได้ถูกทำเป็นหนังสือรูปเล่มโดดเด่นแฝงฝังด้วยเรื่องราวอันคลาสสิก สุนทรียภาพความสวยงามวัฒนธรรมตะวันออกและตะวันตก ผ่านมุมมองที่แปลกใหม่ ผู้ชมและผู้อ่านจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับประเพณี ความเชื่อ และภูมิปัญญาโบราณที่มีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมยูเรเซียในปัจจุบัน นอกจากนี้ การพรรณนาภาพอดีต “เจ้าชายโอ๊ค” คู่หูของเจ้าตัว “ท่านพี่โอ๊ค” พร้อมการวิเคราะห์อภิปรัชญา ทำให้ไฟล์สารคดีท่านเป็นมากกว่างานศิลป์ทั่วไป ท่านผู้ฟังจะได้รับทั้งความบันเทิงกับความรู้ในแง่มุมวัฒนธรรมผสมกับประวัติศาสตร์ที่หาดูได้ยาก ที่สำคัญ สารคดีได้นำเสนอจุดร่วมทางปรัชญาระหว่างพุทธศาสนาและอิสลาม โดยเฉพาะในประเด็นเกี่ยวกับการแสวงหาสัจธรรม การพัฒนาจิตวิญญาณ กับการเข้าถึงความสงบภายในจิตใจ ซึ่งเป็นประเด็นที่น่าสนใจในบริบทสังคมเอเชียที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม ชี้แนะนำให้เห็นว่า บรรดานักบวชและหลักธรรมคำสอนของแต่ละศาสนาก็มีความสอดคล้องกันในหลายมิติ รวมไปถึงมิติที่มีสิ่งลี้ลับแฝงอยู่ในภาพยนตร์ อาทิ เหล่าภูตผีปีศาจ
ซีนที่เป็นความรู้ใหม่ๆ เช่นคำเทศนาของท่านพี่โอ๊คลี่ เรื่องแนวทางซูฟีตอรีกัต มีใจความว่าดังนี้ “ซูฟีไม่ใช่นิกาย ซูฟีมีรากศัพท์ดั้งเดิมที่หมายถึงมุสลิมผู้ใส่ผ้าขนสัตว์ในยุคโบราณ แต่ถ้าความหมายที่เข้าใจกันในบริบทศาสนศาสตร์ซูฟีหมายถึงมุสลิมที่สามารถใช้ญาณปฏิบัติ ‘Tasawwuf’ (การทำสมาธิในอิสลาม) อย่างธรรมชาติ 'นักบวชอิสลาม' มีรากฐานความเป็นซูฟียฺ การบวชอิสลามที่แท้จริงไม่ใช่แค่การบวชถือศีลอดอาหาร แต่ต้องสามารถ Tasawwuf และ ‘Zuhd’ (บำเพ็ญตบะ-ละทิ้งสิ่งของนอกกาย) บวกกับหมั่น ‘Dhikr’ (รำลึกถึงพระเจ้า) และก็สามารถเข้าฌานบรรลุ ‘Haqiqat’ (ความรู้ที่ลึกลับจากประสบการณ์เชื่อมโยงจากพระเจ้า) แล้วก็บรรลุสัจธรรมขั้นสูงสุดที่เรียกว่า ‘Marifa’ ด้วยการเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงการมีอยู่ของพระเจ้า (‘Haqiqat al-Dhat’, ‘Dhat Allah’) รวมถึงได้เข้าใกล้ชิดพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณ ถ้าสามารถบรรลุ Marifa ถึงจะได้เป็นนักบวชอิสลาม การเป็นนักบวชอิสลามคืออุลามาอฺโดยปริยาย บรรดาอุลามาอฺเรามีตำแหน่งขั้น เช่น ‘Mir ul Urah’ (เจ้าชายแห่งหนทางศาสนา) คือยศถาบรรดาศักดิ์อุลามาอฺชั้นสูงบรรลุแล้ว ซึ่งอุลามาอฺซูฟียฺเราอาจถูกมองว่าเป็น 'นักบวช' ถ้าเปรียบกับศาสนาอื่น ก็ต้องแยกแยะประเด็นให้ออก เช่น พระคือนักบวชพุทธ ถ้าคริสต์ก็บาทหลวง แต่ถ้าอิสลามส่วนมากจะเรียกว่า ‘มุลลอฮ์’ นักบวชอิสลามในภาษาอังกฤษก็คือ ‘Islamic cleric’ อิสลามมีนักบวชทำหน้าที่เป็นผู้นำจิตวิญญาณ เทศนา และมีบทบาทในการตัดสินข้อเท็จจริงต่างๆด้วยหลักชารีอะห์กับฟิกฮฺ”
แขกรับเชิญพิเศษที่มาร่วมแสดงออกในภาพยนตร์สารคดีนี้ ก็มีเช่น “Oh Kansiri” (โอ้ กาญจน์ศิริ) ศิลปินเพลงไทยที่มีผลงานการแต่งเพลงดังประกอบซีรีส์ละคร "My Stand-In ตัวนาย ตัวแทน" ซึ่งเธอถูกเชิญมาร้องเพลงหลังเสร็จสิ้นพิธีสมรสของท่านอิสลามมีร์ซาซัยยิดพี่โอ๊ค ซึ่งมีช่างแต่งหน้าเจ้าสาว แบรนด์ชื่อว่า Asmah Makeup ร่วมเป็นสักขีพยานงานแต่งจริง ระหว่างพี่โอ๊ค กับ ”ยัสมี” ศาสนพิธีถูกจัดขึ้นค่อนข้างส่วนตัว บรรยากาศมูดและโทนมีความสุขุมเยือกเย็น บวกกับดราม่าปะปนคล้ายละครนิดๆ แขกคนสำคัญอีกสามท่านที่ได้มาร่วมถ่ายทำ ได้แก่ “กันต์ ธนพัฒน์ แจ่มปรีชา” ญาติผู้เป็นน้องชายที่มีหน้าตาหล่อเหลาเท่าๆพี่มุลลอฮ์โอ๊คลี่ คุณกันต์คือนักลงทุนชาวไทยที่ล่าสุดได้ออกรายการ Take Me Out Thailand และยังมี “Pawan Sethi” นักธุรกิจหนุ่มอินเดียซิกข์ กับ นักบุญคริสเตียน “Chris Smith” สัญชาติแคนาดา-ไทย มาร่วมเล่นฉากแกล้งๆคล้ายละคร โดยรวมแล้วหนังเรื่องนี้คือสารคดีแต่ก็มีองค์ประกอบคอมเมดี้อยู่ ท่านพี่โอ๊คกำชับว่าอารมณ์ภาพที่ออกมาไม่ควรจะตึงเครียดเกินเพราะท่านผู้ชมอาจจะรู้สึกอึดอัด เรื่องราวสาระน่ารู้ที่ลึกลับก็ถูกบันทึกความจริงเรียลไทม์ มีผู้ร่วมถ่ายทำอีกมากมาย บางท่านเป็นนักแสดงไทย เช่น “ธนพร บุญทวี” รวมทั้งยังมีนายแบบไทยลูกครึ่งอย่าง Leon Ramin และพิธีกรรุ่นใหม่ เช่น วิลาสินี ปริญญาศรีเศวต เป็นต้น