เมื่อวันที่ 17 ก.ค. ที่รัฐสภา นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวถึงกรณีวงการสงฆ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ว่า ในทุกวงการไม่ว่าจะเป็นพระ การเมือง สิ่งที่ทุกคนอยากเห็นคือทุกคนครองตนให้ถูกต้องตามจริยธรรม วินัย หรือขอปฏิบัติ ส่วนองค์กรสงฆ์ที่เป็นข่าวอยู่ในขณะนี้เป็นประเด็นที่ตนค่อนข้างห่วงใยเพราะอาจนำมาสู่ความขาดศรัทธาของประชาชนต่อสถาบันหลักของชาติคือศาสนา ในส่วนของพรรคประชาชนได้ทำงานมาก่อนหน้านี้มาแล้วคือการยกร่างพ.ร.บ.สงฆ์ เพื่อให้มีความโปร่งใสมากยิ่งขึ้น พร้อมกำกับดูแลให้อยู่ในวินัยที่ควรจะเป็นเพื่อให้ประชาชนมีความศรัทธาและเชื่อมั่นในศาสนาได้ต่อไป ส่วนจะมีการยื่นเมื่อไร ขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการยกร่างหากมีความชัดเจนว่าจะยื่นร่างเมื่อไรจะรีบแจ้งให้ทราบ

เมื่อถามว่าการที่ทางรัฐบาลได้มีการเพิ่มโทษเห็นด้วยหรอไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า คงไม่มีความเห็นด้วยหรือเห็นต่างในเรื่องของรายละเอียด แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความโปร่งใส เช่น เรื่องเงินบริจาค ที่มีประเด็นเรื่อง “สีกา ก” ที่มีการเปิดว่าวงการสงฆ์ไปยุ่งเกี่ยวกับการเล่นพนัน เอาง่ายๆ ไม่ต้องแก้ไขกฎหมาย เงินบริจาคที่เข้าวัดหากผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ให้มีหลักฐานได้จะสามารถแก้ปัญหาได้ในระยะยาว

เมื่อถามว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ที่จะกำหนดเงินวัดให้ไม่เกินหนึ่งแสนบาท นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ กฎหมายป้องกันการฟอกเงินก็มีบทบัญญัติรองรับไว้แล้ว วงการสงฆ์เองในเรื่องของเงินบริจาคก็ควรอยู่ในมาตรฐานเดียวกันที่จะต้องทำให้เกิดความโปร่งใส 

ผู้สื่อข่าวรายว่า นายสุชาติ ตันเจริญ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ได้มอบหมายให้พศ.ดำเนินการร่าง พ.ร.บ.สงฆ์ให้เสร็จภายใน 2 สัปดาห์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หากร่างพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....ตามการสัมภาษณ์ของนายณัฐพงษ์ เบื้องต้นจะเป็นดังนี้
 
พระราชบัญญัตินี้ ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดสามสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา 1
พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....”
มาตรา 2
พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา 3
ให้เพิ่มบทบัญญัติต่อไปนี้เป็น หมวดใหม่ (หมวด 7/1) ในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505
หมวด 7/1 ว่าด้วยความโปร่งใส และธรรมาภิบาลในวงการคณะสงฆ์
มาตรา 69/1
ให้คณะสงฆ์ในทุกระดับจัดทำ บัญชีรายรับ-รายจ่าย ของทรัพย์สินหรือเงินที่ได้รับจากการบริจาค หรือจากกิจกรรมอื่นใดต่อสาธารณะ พร้อมทั้งจัดเก็บข้อมูลดังกล่าวไว้เป็นระบบผ่าน ระบบบัญชีอิเล็กทรอนิกส์ที่ตรวจสอบได้
บัญชีดังกล่าวต้องจัดส่งให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติตรวจสอบอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
มาตรา 69/2
การบริจาคเงินให้แก่วัด หรือพระภิกษุสามเณรที่จำพรรษาในวัด ให้ดำเนินการผ่าน ระบบการเงินอิเล็กทรอนิกส์ (E-Donation) ที่เชื่อมโยงกับระบบของธนาคารและสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
ยกเว้นการบริจาคไม่เกิน หนึ่งแสนบาทต่อครั้งต่อราย ซึ่งสามารถดำเนินการได้โดยไม่ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ แต่ต้องมีการออกหลักฐานรับเงินตามแบบที่คณะกรรมการมหาเถรสมาคมกำหนด
มาตรา 69/3
ห้ามมิให้พระภิกษุสามเณร คณะสงฆ์ หรือวัดใด ๆ ดำเนินกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการพนัน หรือเข้าร่วมกับบุคคลภายนอกในกิจกรรมที่ขัดต่อศีลธรรมอันดี
การฝ่าฝืนต้องมีการดำเนินการทางวินัย และหากมีการกระทำผิดกฎหมาย ให้เจ้าหน้าที่รัฐดำเนินการตามกระบวนการกฎหมายทั่วไปโดยไม่เลือกปฏิบัติ
มาตรา 69/4
การดำเนินคดีอาญา หรือคดีเกี่ยวกับการฟอกเงินซึ่งมีวัดหรือคณะสงฆ์เกี่ยวข้อง ให้พนักงานสอบสวนหรือหน่วยงานที่มีอำนาจประสานการดำเนินการกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และมหาเถรสมาคม เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนวินัยควบคู่กฎหมายบ้านเมือง
มาตรา 4
ให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติออก กฎ ระเบียบ ประกาศ เพื่อให้การปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้เป็นไปโดยชัดเจน และมีประสิทธิภาพ
บทเฉพาะกาล
มาตรา 5
ให้วัดและคณะสงฆ์ทั่วประเทศต้องดำเนินการติดตั้งระบบบัญชีอิเล็กทรอนิกส์ และเปิดบัญชีสำหรับรับบริจาคผ่านระบบ E-Donation ให้แล้วเสร็จภายใน 180 วัน นับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้มีผลบังคับใช้
คำอธิบายประกอบ
พระราชบัญญัติฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ

เพิ่มความโปร่งใสในการบริหารจัดการทางการเงินของวัดและคณะสงฆ์

ป้องกันการทุจริต และการกระทำที่ขัดต่อหลักพระธรรมวินัย

รักษาศรัทธาของประชาชนต่อพระพุทธศาสนาในระยะยาว

สอดคล้องกับแนวทางการป้องกันการฟอกเงิน และกฎหมายว่าด้วยการบริหารราชการแผ่นดินที่ดี

หากท่านต้องการให้จัดทำเอกสารเป็