เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2568 จากกรณีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร วันที่ 15 สิงหาคม พิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายปี 2569 มาตรา 27 วงเงิน 43,111 ล้านบาท ปรากฏว่า ส.ส.พรรคประชาชนบางราย อภิปรายให้ “ตัดงบเกี่ยวกับคณะสงฆ์” โดยอ้างเหตุผลเรื่องความไม่โปร่งใส ไม่คุ้มค่า และเป็นการใช้ภาษีผิดหลักพระธรรมคำสอน สร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์กว้างขวางว่ากระทบความรู้สึกชาวพุทธ

โดย นายภัณฑิล น่วมเจิม ส.ส.กทม. พรรคประชาชน เสนอให้ตัดงบ “นิตยภัต” เงินสนับสนุนพระสงฆ์ 1,233 ล้านบาททั้งหมด รวมถึงงบพระวินยาธิการ และงบพัดยศ อ้างว่าไม่เกิดประโยชน์และยังซ้ำเติมปัญหาทุจริตในวงการสงฆ์ ขณะที่ นายนนท์ ไพศาลลิ้มเจริญกิจ ส.ส.นนทบุรี พรรคเดียวกัน อภิปรายว่าการใช้งบเผยแผ่ศาสนา–อุดหนุนวัดไทยในต่างประเทศ “ไม่คุ้มค่าและไม่ทั่วถึง” พร้อมหยิบยกข่าวพระฉาวมาเปรียบโยงกับการใช้งบของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

การอภิปรายดังกล่าวถูกตอบโต้ทันทีจากฝ่ายพระสงฆ์ โดย พระมหานรินทร์ นรินฺโท เจ้าอาวาสวัดไทยลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา โพสต์เฟซบุ๊กตำหนิพรรคประชาชนว่า “หูหนวกตาบอด” พร้อมยกข้อมูลยืนยันว่ารัฐบาลไม่ได้อุดหนุนพุทธศาสนาเพียงศาสนาเดียว แต่มีการสนับสนุนผู้นำศาสนาอิสลามมาโดยตลอด และยังเปรียบเทียบว่า หากจะใช้เหตุผลเดียวกัน ควรยกเลิกงบประมาณรัฐสภาไปทั้งหมดเช่นกัน

ด้าน ดร.นิยม เวชกามา หรือ “ดร.มหานิยม” ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ แสดงความห่วงใยต่อถ้อยคำของ ส.ส.ที่อภิปราย “เหยียบย่ำศาสนาพุทธ” ทั้งที่ประเทศไทยอยู่ร่วมกับทุกศาสนาโดยไม่เคยเบียดเบียนกันมาแต่อดีต พร้อมย้ำว่า “การที่พระบางรูปทำผิด ไม่ได้หมายความว่าพระสงฆ์ทั้งประเทศเป็นเช่นนั้น การเหมารวมและโยงไปสู่การตัดงบประมาณทั้งหมดไม่เป็นธรรม”

ในประเด็นนี้ ดร.ไพรัตน์ ฉิมหาด ผู้ช่วยอธิการบดี มจร. วิทยาเขตนครศรีธรรมราช ก็โพสต์แสดงความเห็นว่า สื่อและการตรวจสอบในไทย “มักเลือกปฏิบัติ” โดยเพ่งเล็งสงฆ์เป็นจำเลยสังคม ขณะที่นักการเมืองและกลุ่มทุนกลับรอดพ้นการตรวจสอบ

“น่าเศร้าที่มีผู้แทนราษฎรบางคนโหนกระแสข่าวพระฉาวมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง ถามว่าเมื่อกระแสเงียบไปแล้ว พวกท่านจะยืนอยู่ตรงไหนในสังคมไทย” ดร.มหานิยมกล่าวทิ้งท้าย