ผู้ว่าฯสั่งสอบนายกอบต.ฉาว!
               

จากกรณี นายสุเมธ อารยางกูร อายุ 65 ปี ประธานบริหารบริษัท เอ็ม.เจ.รุ่งเรืองคอนกรีต จำกัด ได้พา ดร.อรรถสิทธิ์ อารยางกูร อายุ 32 ปี ผู้จัดการบริษัท เอ็ม.เจ.รุ่งเรืองคอนกรีต จำกัด (บริษัทผลิตและจำหน่ายเสาเข็มแผ่นพื้นคอนกรีต) อยู่บ้านเลขที่ 50/2 หมู่ 1 ต.บ้านกร่าง อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี บุตรชายเข้าให้แจ้งความร้องทุกข์กับ ร.ต.อ.ปริทรรศน์ ชูทอง รองสารวัตรสอบสวน สภ.ดอนเจดีย์  ให้ดำเนินคดีกับนายประสาร บุญเกิด นายกอบต.ดอนเจดีย์ ในข้อหาทำร้ายร่างกาย และหมิ่นประมาท
               

ความคืบหน้า ช่วงเย็นวันที่ 28 ก.พ. ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปสัมภาษณ์นายนิมิต วันไชยธนวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี โดยผู้ว่าราชการจังหวัดฯ กล่าวว่า ได้รับรายงานจากนายกิตติพงษ์ แย้มมี นายอำเภอดอนเจดีย์ เกี่ยวกับเรื่องนี้ในเบื้องต้นแล้วทราบว่าวันเกิดเหตุผู้เสียหายได้ไปชำเงินภาษีที่ดิน ขณะนั่งรอชำระเงินอยู่นั้นมีนายก อบต.ดอนเจดีย์ ซึ่งไม่เคยเห็นและไม่รู้จักกันมาก่อนเข้ามาด่าทอด้วยถ้อยคำไม่สุภาพ แล้วยังใช้มือบีบคอ เป็นการทำร้ายร่างกายประชาชน ขณะนี้ได้ให้ท่านนายอำเภอตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบข้อเท็จจริงแล้วรายงานขึ้นมา

กรณีนี้โดยทั่วไปแล้วเหมือนเป็นคดีทำร้ายร่างกาย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นตนได้ให้ท่านนายอำเภอ สอบให้ชัดเจนว่าสถานที่เกิดเหตุนั้นเกิดขึ้นที่ไหนพฤติกรรมขณะเกิดเหตุผู้ที่ถูกทำร้ายร่างกายไปปฏิบัติหน้าที่ของพลเมืองดีนั่นก็คือไปเสียภาษีใช่ไหม ตรงนี้ต้องสอบกันหลายฝ่ายทั้งตัวผู้เสียหายสอบเจ้าหน้าที่ที่ผู้เสียหายยื่นเรื่องชำระภาษี และผู้เห็นเหตุการณ์ว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นได้อย่างไร หากผู้เสียหายไปเสียภาษีในสถานที่ราชการซึ่งผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้บริหารอยู่ที่นั่นแล้วไปทำร้ายร่างกายเขาตรงนี้ต้องดูเจตนาว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร มันคงไม่ใช่เป็นเรื่องทำร้ายร่างกายธรรมดา ปกติแล้วผู้บริหารของการบริหารส่วนตำบล นั้นจะต้องต้อนรับขับสู้พลเมืองดีที่มาเสียภาษีด้วยซ้ำไป ถ้าเป็นเรื่องทำร้ายร่างกายกันก็ต้องว่ากันอีกที หรือเขาไม่ได้เสียภาษี มา อบต.เพื่อจะมาหาเรื่องทะเลาะเบาะแว้งก็เป็นอีกกรณีหนึ่ง
               

ผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี กล่าวอีกว่าขณะนี้ตนรอข้อเท็จจริงว่าข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร ซึ่งตนได้รับรายงานเบื้องต้นจากท่านนายอำเภอว่าได้เชิญฝ่ายผู้เสียหายผู้ถูกทำร้ายร่างกาย รวมทั้งพยานรู้เห็นเหตุการณ์ 23 ปากมาบันทึกปากคำแล้ว และในวันที่พรุ่งนี้วันที่ 1 มี.ค.จะเชิญเจ้าหน้าที่ที่รับเสียภาษีมาสอบปากคำอีกครั้งว่าเหตุการณ์มันเกิดขึ้นอย่างไร หลังจากนั้นก็จะเชิญตัวนายกองค์การบริหารส่วนตำบลดอนเจดีย์ มาสอบว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้อย่างไรแล้วจะนำมาประมวลผลว่าจริงๆแล้วใครผิดใครถูกขอเรียนยืนยันว่าจะให้ยุติธรรมกับทั้งสองฝ่าย
                 

ถ้าหากผลการสอบระบุออกมาว่านายก อบต.เป็นฝ่ายผิด ทางนายอำเภอก็จะรายงานมาที่ตนอีกครั้งว่าที่นายก อบต.ผิดนั้นผิดอย่างไร มีพฤติกรรมเหมาะสมกับตำแหน่งหรือไม่หรือไม่ ตนก็จะดูอีกทีถ้าคุณจะไปทำร้ายร่างกายกันที่ไหนตามร้านอาหาร หรืออะไร ตนไม่สนใจถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัว แต่ถ้ามาทำร้ายร่างกายในสถานที่ราชการทำร้ายประชาชนที่มาเสียภาษีอันนี้ตนถือว่าไม่เหมาะสม จึงทางท่านนายอำเภอสอบปากคำผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ เนื่องจากวันเกิดเหตุเป็นเวลาราชการ และมีผู้มาติดต่อราชการ มีผู้รู้เห็นมีพยานเยอะ คุณจะมาปกปิดข้อเท็จจริงไม่ได้ เนื่องจากเหตุการณ์เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาและอยู่ในสถานที่ราชการ และขณะที่คุณกำลังปฏิบัติหน้าที่ด้วยจะมาบอกว่าไม่รู้ ไม่ได้ยินนั้นเชื่อได้ไหมเป็นไปไม่ได้ ยิ่งถ้าคนมีปัญหาทะเลาะกันก่อนที่จะทำร้ายร่างกายกันนั้นต้องมีเสียพอสมควรเพราะฉะนั้นคุณอยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดคุณต้องรู้

เพราะฉะนั้นทางเจ้าหน้าที่ ที่รับเสียภาษีนั้นถือว่าเป็นผู้ที่มีส่วนสำคัญในการที่จะระบุว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร สำหรับพฤติกรรมของนายก อบต.คนนี้ตนได้รับรายงานจากอำเภอว่านายกมักจะมีพฤติกรรมลักษณะเช่นนี้ แต่ก็ไม่ค่อยได้เกี่ยวข้องกับประชาชนมากเท่าไหร่ส่วนมากจะพูดจาไม่ดีกับลูกน้องในที่ทำงาน ทางอำเภอจึงไม่ติดใจเอาความจึงได้ว่ากล่าวตักเตือน ส่วนตนนั้นจะแคร์ ในสถานที่ราชการส่วนถ้านอกสถานที่ราชการก็จะแคร์กรณีเขาสวมเครื่องแบบแล้วไปทะเลาะกับประชาชนไม่ว่าใครผิดใครถูกก็ถือว่าไม่เหมาะสมทั้งนั้นต้องหลีกเลี่ยง ส่วนคำว่าไม่เหมาะสมพอที่จะให้ทั้งสองฝ่ายยอมความกันได้ คุณต้องไปทะเลาะทำร้ายร่างกันนอกสถานที่ราชการ แต่ถ้ามาทำร้ายร่างกายกันในสถานที่ราชการขณะที่เขามาทำหน้าที่ของประชาชนที่ดีนั่นคือมาเสียภาษีให้กับรัฐเสียภาษีให้คุณไปพัฒนาแล้วไปทำร้ายร่างกายเขานี่ ยิ่งไม่ทราบจะใช้คำว่าไม่เหมาะสมอย่างไรดี