กรณี นางสาวหนูผิ่น แสงสีดา อายุ 51 ปี ชาว ต.พังเคน อ.นาตาล จ.อุบลราชธานี แม่ของน้องบีม นายยศพล ฮ่มซ้าย อายุ 20 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยนครพนม  ผู้รอดชีวิตจากอุบัติเหตุรถกึ่งพ่วงตู้คอนเทนเนอร์ โชเฟอร์หลับในชนท้ายรถจักรยานยนต์ ทำให้คนขับรถจักรยานยนต์เสียชีวิตคาที่  ส่วนผู้รอดชีวิตเป็นคนซ้อนท้าย คือ น้องบีม ได้รับบาดเจ็บสาหัสขาหัก 2 ข้าง เหตุเกิดเมื่อเช้าวันที่ 11 กรกฎาคม 2565 ใกล้จุดยูเทิร์นอันตราย ห่างจากตัวเมืองประมาณหลัก กม.ที่ 13 ถนนทางหลวงแผ่นดิน หมายเลข 212 ตอนท่าควาย – กลางน้อย เขตพื้นที่ บ้านหนองเซา ต.ท่าค้อ อ.เมือง จ.นครพนม   ภายหลังผู้เป็นแม่ได้ออกมาเรียกร้องขอความเป็นธรรมไปยังหน่วยงานรับผิดชอบ และโรงพยาบาลต้นทางที่รับการรักษา เนื่องจากน้องบีมลูกชาย อาการยังวิกฤต ต้องถูกส่งตัวไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลศูนย์สกลนคร ซ้ำร้ายต้องถูกตัดขาซ้ายเหนือหัวเข่า เพราะแผลติดเชื้อ อีกทั้งยังมีเลือดคั่งในสมอง ยังไม่รู้สึกตัว โดยระบุว่า ทางโรงพยาบาลนครพนม ส่งตัวไปรักษาปลายทางล่าช้า ทั้งที่ส่งเข้ารับการรักษาตัวตั้งแต่เวลาประมาณ 8 โมงเช้า จนกระทั่ง เวลา 19.00 น. วันเดียวกัน นานนับ 10 ชั่วโมง จึงถูกส่งตัวมารักษาต่อที่โรงพยาบาลศูนย์สกลนคร ล่าสุดอาการน้องบีมอยู่ในการดูแลของทีมแพทย์ใกล้ชิดเพราะยังไม่พ้นขีดอันตราย

 

ล่าสุด วันที่ 14 กรกฎาคม 2565 นายแพทย์ ธนสิทธิ์ ไพรพงษ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลนครพนม ได้ออกมาชี้แจงผ่านโทรศัพท์ เนื่องจากติดราชการต่างจังหวัด ว่า ในการรักษาตัวกรณีผู้ได้รับบาดเจ็บดังกล่าว มีทั้งอาการบาดเจ็บทางสมอง รวมถึงขาหักทั้ง 2 ข้าง โดยหลังเข้ารับการรักษาทางทีมแพทย์ได้ตรวจสอบประเมินดูอาการต่อเนื่อง ไม่ได้ปล่อยปละละเลย แต่ช่วงแรกมีการประเมินผลอาการบาดเจ็บที่ขาพบว่ายังตอบสนอง โดยมีปัญหาที่เส้นเลือดใหญ่ แต่ยังไม่สามารถที่จะส่งตัวไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลมีแพทย์เชี่ยวชาญได้ทันที เนื่องจากต้องประเมินรักษาอาการทางสมองก่อน เพราะหากอาการทางสมองไม่ดีขึ้น จะไม่สามารถเข้ารับการผ่าตัดได้

 

ทั้งนี้ยอมรับว่าทางโรงพยาบาลนครพนม ขาดแคลนแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องศัลยกรรมกระดูก ผ่าตัดเส้นเลือด จึงต้องส่งไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลศูนย์สกลนคร ภายหลังการประเมินอาการผู้ป่วย ที่สามารถส่งต่อไปรักษาได้ ว่าจะไม่เกิดกรณีฉุกเฉินระหว่างการเดินทาง รวมถึงทางโรงพยาบาลปลายทางตอบรับ จึงรีบส่งตัวไปรักษา ยืนยันว่าทีมแพทย์ดูแลรักษาสุดความสามารถ อาจจะไม่เป็นไปตามญาติต้องการ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ทีมแพทย์มีขั้นตอนการรักษาตามหลักวิชาชีพ อย่างไรก็ตามทางโรงพยาบาลพร้อมที่จะดูแลเยียวยาดูแลผู้ป่วย ไม่ได้ปล่อยปละละเลยอย่างแน่นอน ฝากพี่น้องประชาชน มั่นใจในการทำงานของทีมแพทย์พยาบาล ไม่ว่าจะกรณีใด ทุกฝ่ายรักษาสุดความสามารถ ไม่ให้เกิดความสูญเสีย และเข้าใจในความรู้สึกของญาติที่เจ็บป่วย