ผู้สื่อข่าว จ.ชลบุรี เดินทางไปที่บ้านพัก ถ.ศุขประยูร อ.พานทอง จ.ชลบุรี พบกับ นายประมวล  เอมเปีย อดีต สว.ชลบุรี ปี 2549  และเป็นอดีต ส.ส.ชลบุรี   ปี 2550 -2554  ทำงานทางการเมืองมาตั้งแต่ ปี 2533 จนถึงปัจจุบัน

นายประมวล  กล่าวว่า การเลือกนายกรัฐมนตรี ในครั้งนี้ นับว่าวุ่นวายกว่าทุกครั้ง เพราะที่ผ่านมา การเสนอตัวเป็น นายกฯ ใครได้โหวตเสียงข้างมากก็ได้เป็น  แต่ครั้งนี้ พิเศษกว่า การที่จะได้เป็นหรือไม่ ต้องรวบรวมเสียง  แต่การโหวตในครั้งนี้ ตนได้พูดคุยกับ บรรดา สว.ด้วยกัน และฟังจากชาวบ้านทุกสาขาอาชีพ ส่วนใหญ่ จะบอกว่า นายพิธา ยังไม่มีวุฒิภาวะพอ เพราะขนาดยังไม่ได้เป็นนายก ยังไปก้าวก่ายหน่วยงานต่างๆ ซึ่งที่ผ่านมา ไม่เคยมีใครเคยทำมาก่อน และพึ่งได้แค่รับรองการเป็น ส.ส.เท่านั้น ก็ไปแทรกแซงการทำงานของหน่วยวานต่างๆ แล้วยังไปประกาศว่า ตัวเองเป็นว่าที่ นายกฯคนที่ 30 แท้จริงต้องผ่านการเลือกตั้ง ได้เป็นนายกฯ แล้วได้รับการโปรดเกล้าฯซะก่อน ตอนนี้ ได้เป็นแค่ เคนดิเดตเท่านั้น  เรื่องนี้ จึงเหมือนขาดวุฒิภาวะทางการเมือง คนทั่วไปมองว่า การแสดงที่ไม่เหมาะสม

กรณี ประการที่ 1 สว.ที่มีสิทธิ์โหวตเลือกนายกฯ เพราะมาจากเลือกตั้งเช่นกัน เป็นไปตาม รัฐธรรมนูญ ปี2560 ดังนั้นก็มีสิทธิ์โหวตได้เช่นกัน  สว.มีความกังวลที่ พรรคก้าวไกล ประกาศจะแก้ หรือยกเลิก ม.112  เป็นเรื่องสำคัญที่เกี่ยวสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่อยู่คู่บ้านคู่เมืองประเทศไทยมานาน ถือว่าเป็นเสาหลักของประเทศ  ประชาชนส่วนใหญ่ ยังกังวลไม่อยากให้ไปแตะเรื่องนี้ ทำให้ สว.มีความกังวลในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก  สว.ส่วนใหญ่ต่างก็บอกว่า หากพิธาหรือพรรคก้าวไกล ไม่ไปยุ่งกับเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ ก็จะยินดีที่จะโหวตให้ 

ประการที่ 2 ประเด็นที่ว่า พิธา ยังไม่ได้นายกฯ แต่ไปประกาศตัวว่า เป็นส่าการนายกคนที่ 30 แล้วไปก้าวก่ายการทำงานของหน่วยงานต่าง จึงเหมือนยังขาดวุฒิภาวะ ประการที่ 3 คนจำนวนมาก มองว่า พรรคก้าวไกล ใช้เทคโนโลยี่ IOมากเกินไป เน้นไปฝังความคิดทางการเมืองแบบผิด ๆ ตั้งแต่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ทำให้เด็กๆ เมื่อเติบโตไป จะเกิดความก้าวร้าว อย่างเมื่อเร็วนี้ เอาเด็กๆอายุประมาณ 10 ขวบ ขึ้นไปบนเวทีการเมือง มันไม่เหมะสม เพราะเหมือนฝังความคิดไม่ดีกับสังคม พ่อแม่ส่วนใหญ่ ไม่อยากให้ทำแบบนี้ เพราะจะทำให้วัฒนธรรมดีๆ แต่อดีตหายไป อาทิ การเคารพพ่อแม่ผู้หลักผู้ใหญ่ ทั้ง 3ประการนี้ ประกอบเรื่องที่ถูก กกต.พิจารณา ม. 98(3) เรื่องถือหุ้นสื่อ ส่งให้ ศาล รธน.วินิจฉัย ให้หยุดความเป็น ส.ส. ทำให้ สว.ลังเลที่จะโหวตให้ 

นอกจากนี้ หากมีการพิจารณาว่า พิธา รู้อยู่แล้ว ว่าตัวเองขาดคุณสมบัติ แล้วยัง สมัคร ส.ส.อีก หากมีความผิดทางอาญา หากถึงยุคพรรคก้าวไกล และทำให้ 8 พรรค ที่ MOU กัน ไม่มีความสบายใจอีกด้วย เพราะอาจทำให้พรรคเหล่านี้ กังวลและลังเล สว.ก็ลังเลไปด้วย อาจทำให้ถึงกับไม่โหวตให้พิธา 

นาย ประมวล ยังกล่าวอีกว่า หากไม่รับการโหวตสักครั้ง 2 ครั้ง ก็ควรที่จะต้องยอมบาย และให้พรรคอันดับต่อไป ไปจัดตั้งแทน และไม่ควรเอามวลชนมากดดัน สว.เพราะหากเขาไม่โหวต ทำอย่างไรก็ไม่โหวต ควรต้องยอมรับ เพราะหากเอามวลชนมารวมตัวกัน กดดันทำให้การเมือง ก็ไม่เป็นประชาธิปไตย แต่จะกลายเป็นเผด็จการแทน และที่สำคัญหากยังดื้อดึง มีการยื้อการโหวตไปเรื่อย ทำให้ไม่เป็นนายกฯ นักธุรกิจต่างประเทศก็ไม่กล้าเข้ามาลงทุนอีกด้วย