วันอาทิตย์ ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2568 19:00 น.

ภูมิภาค

สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิตย้ำ ปิดเหมืองต้นน้ำคือคำตอบ ไม่เอาฝายดักสารพิษ ไทยไม่ใช่ที่ทิ้งสารพิษจากทุนจีน

วันศุกร์ ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2568, 18.59 น.

หลังจากเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา นายธีระชุณ บุญสิทธิ์  อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ เปิดเผยว่า กรมฯ ร่วมกับกรมการบินพลเรือน สำรวจลำน้ำและเตรียมออกแบบฝายดักตะกอนใต้น้ำ ไม่ใช่เขื่อนกั้นน้ำ มีเป้าหมายลดสารหนูและโลหะหนักก่อนน้ำไหลผ่านชุมชน พร้อมติดตั้งกล้องสังเกตการณ์จนสัปดาห์ต่อมา นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมได้มีการประกาศจัดตั้ง “ศูนย์เฝ้าระวังสารหนู” ในพื้นที่เชียงใหม่–เชียงราย และมอบหมายให้กรมทรัพยากรน้ำออกแบบฝายลดตะกอน ส่วนกรมควบคุมมลพิษดูแลการสื่อสารกับประชาชน
 
โดยทางสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิตได้ลงพื้นที่พบปะชุมชนตั้งแต่ต้นน้ำกกในประเทศไทย ตำบล ท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ จนถึงปากแม่น้ำกก บ้านสบกก อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ซึ่งตัวแทนชาวบ้านในลุ่มน้ำกกในประเทศไทย ต่างแสดงความกังวล และไม่เห็นด้วยกับแนวทางการสร้างฝายดักตะกอนในลำน้ำกก โดยระบุว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ และอาจสร้างผลกระทบร้ายแรงต่อระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพในแม่น้ำสายสำคัญของภาคเหนือ ซึ่งการสร้างฝายเพื่อดักตะกอนอาจช่วยลดสารปนเปื้อนบางส่วนได้ในระยะสั้น แต่ไม่สามารถจัดการกับต้นตอของปัญหา ซึ่งเกิดจากกิจกรรมเหมืองในพื้นที่ต้นน้ำ โดยเฉพาะพื้นที่ชายแดนประเทศเพื่อนบ้านที่มีการปล่อยโลหะหนักและสารพิษลงสู่ลำน้ำ 

นายสมเกียรติ เขื่อนเชียงสา นายกสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต กล่าวว่า ฝายดักตะกอนที่ทราบไม่ได้จะสร้างเพียงแห่งเดียว ซึ่งมองว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ สิ่งที่ควรทำก่อนคือหยุดต้นตอของสารพิษจากเหมือง ไม่ใช่นำงบประมาณจำนวนมหาศาลมาสร้างฝายที่อาจไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร และยังส่งผลต่อระบบนิเวศของแม่น้ำอีกด้วย  ทางออกที่เหมาะสมควรเริ่มจากความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยใช้กลไกทางการทูตหรือความตกลงลุ่มน้ำข้ามแดน เพื่อผลักดันให้มีการควบคุมหรือหยุดยั้งการปล่อยสารพิษจากต้นน้ำ หากแนวทางความร่วมมือเหล่านี้ไม่สามารถดำเนินการได้ จึงค่อยพิจารณามาตรการทางเทคนิคอย่างการสร้างฝายเป็นทางเลือกสุดท้าย การสร้างฝายไม่ควรเป็นคำตอบแรกที่รัฐรีบดำเนินการ โดยยังไม่มีความชัดเจนเรื่องประสิทธิภาพ ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และขาดการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่  การเร่งเจรจาหยุดเหมืองในพื้นที่ต้นน้ำที่เป็นสาเหตุหลักยังไม่มีความชัดเจนจากรัฐบาล รวมถึงขณะนี้นี้ยังไม่มีการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนให้ชุมชนที่ชัดเจน แต่โครงการสร้างฝายดักตะกอนในลำน้ำกกเป็นหนึ่งในมาตรการเร่งด่วนที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกำลังเร่งออกแบบ เพื่อรับมือกับวิกฤตปนเปื้อนโลหะหนักที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ลุ่มน้ำกก ซึ่งไม่อยู่ในมาตรการข้อเรียกร้องแก้ไขปัญหาเครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำกก รวก สาย โขง 

“การแก้ไขปัญหาแม่น้ำกกปนสารพิษจากภาครัฐโดยการเสนอสร้างฝายดักตะกอน ในมุมของคนที่ทำงานด้านสิ่งแวดล้อม จะมีผลกระทบในด้านแรกคือ การสร้างฝายหรือเขื่อนจะส่งผลกระทบโดยรวมต่อระบบนิเวศแม่น้ำในพื้นที่นั้นๆ โดยเฉพาะการอพยพเคลื่อนย้ายของพันธุ์ปลาในช่วงของฤดูกาลวางไข่ การสร้างเขื่อนดักตะกอนยังทำให้สารเคมีไปกองอยู่เป็นจุดหลังเขื่อน ยิ่งส่งผลต่อความหลากหลายทางชีวภาพในจุดนั้น ซึ่งต้นตอของปัญหาการปล่อยสารพิษจากเหมือง เรายังไม่สามารถควบคุมหรือยับยั้งได้ที่ต้นเหตุ เป็นเหตุผลที่ว่าฝายดักตะกอนจึงไม่เหมาะสมในการสร้างในตอนนี้ อีกอย่างคือการแก้ไขปัญหาสารพิษปนเปื้อนในแม่น้ำกกไม่ใช่ความรับผิดชอบของคนที่ได้รับผลกระทบที่อยู่ท้ายน้ำ มันควรจะเป็นความรับผิดชอบของกลุ่มทุนที่ไปลงทุนในพื้นที่ต้นน้ำ เขาต้องมารับผิดชอบความเสียหายที่เขาทำให้มันเกิดขึ้น ไม่ใช่ความเสียหายที่ประชาชนคนไทยต้องมาแบกรับ เพราะงบประมาณที่จะนำมาใช้สร้างเขื่อนหรือฝายมันเป็นเงินภาษีของประชาชน โดยหลักการการแก้ไขนี้ผมว่ามันไม่ถูกต้อง ต้องให้ต้นทางแก้ไขปัญหาการปล่อยสารพิษลงน้ำ ถ้าทำไม่ได้คุณต้องปิดเหมืองเท่านั้น”  นายกสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิตกล่าว

สำหรับโครงการสร้างฝายดักตะกอนเริ่มจากวันที่ 29 เมษายน 2568 มีการประชุมร่วมระหว่างหลายหน่วยงาน มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานพิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหาสารหนูที่ปนเปื้อนต้นน้ำแม่น้ำกก สาย พร้อมเสนอ “ฝายดักตะกอน” เป็นมาตรการเฉพาะหน้า หลังจากมีการเรียกร้องแก้ไขปัญหาจากภาคประชาชนเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา
ต่อมาวันที่ 8 พฤษภาคม 2568 นายรังสิมันต์ โรม ประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดน ยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ พร้อมด้วยคณะกรรมาธิการฯ เดินทางลงพื้นที่จังหวัดเชียงราย เพื่อร่วมประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ณ ห้องประชุมพญาพิภักดิ์ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย ได้กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาสารพิษโดยการสร้างฝายดักตะกอน
วันที่ 13 พฤษภาคม 2568 จังหวัดเชียงรายเรียกประชุมคณะทำงานขับเคลื่อนแก้ปัญหาลุ่มน้ำข้ามพรมแดน นัดแรก โดยมีการนำเสนอแนวทางสร้างฝายดักตะกอนโลหะหนักในแม่น้ำกก – แม่น้ำสาย และตั้งคณะทำงาน 4 ชุด

วันที่ 22 พฤษภาคม 2568  นายธีระชุณ บุญสิทธิ์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ  เปิดเผยว่า กรมฯ ร่วมกับกรมการบินพลเรือน สำรวจลำน้ำและเตรียมออกแบบฝายดักตะกอนใต้น้ำ ไม่ใช่เขื่อนกั้นน้ำ มีเป้าหมายลดสารหนูและโลหะหนักก่อนน้ำไหลผ่านชุมชน พร้อมติดตั้งกล้องสังเกตการณ์จนสัปดาห์ต่อมาจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทัพรยากรและสิ่งแวดล้อม ประกาศจัดตั้ง “ศูนย์เฝ้าระวังสารหนู” ในพื้นที่เชียงใหม่–เชียงราย และมอบหมายให้กรมทรัพยากรน้ำออกแบบฝายลดตะกอน ส่วนกรมควบคุมมลพิษดูแลการสื่อสารกับประชาชน ต้นเดือนมิถุนายน 2568 กมธ. คณะกรรมการมั่นคงฯ ตั้งคำถามเกี่ยวกับงบประมาณฝาย 538 ล้านบาท บำบัด 338 ล้าน/ปี แจงว่าฝายชั่วคราวเริ่มสร้าง พ.ย.68 ใช้เวลาประมาณ 3 เดือน ถึงแม้ปัจจุบันโครงการกำลังอยู่ระหว่าง ออกแบบฝายดักตะกอนใต้น้ำ ในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย แต่ก็ได้สร้างกังวลใจให้กับชุมชน

ทางสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิตได้ชี้แจงว่า เรามีบทเรียนจากฝายดักตะกอนจากลำห้วยคลิตี้ จังหวัดกาญจนบุรี ว่าไม่สามารถแก้ไขปัญหาสารพิษได้ 1) ฝายไม่ได้ดักโลหะหนัก อย่างมีประสิทธิภาพตะกอนที่ปนเปื้อนสารตะกั่วมีคุณสมบัติสามารถกระจายตัวต่อในน้ำหรือเคลื่อนที่ตามการไหลของน้ำได้ แม้มีฝายตะกอนที่ถูกดักไว้บางส่วนยังสามารถถูกน้ำซัดพัดกระจายซ้ำ เมื่อมีฝนตกหนักหรือระดับน้ำเพิ่ม 2) ผลกระทบต่อระบบนิเวศการสร้างฝายทำให้ระบบการไหลของน้ำเปลี่ยนไป กระทบ การหมุนเวียนของออกซิเจนในน้ำ และแหล่งอาศัยของสิ่งมีชีวิต 3) ความล่าช้าและขาดการมีส่วนร่วม ไม่มีการประเมินผลกระทบจากชาวบ้านอย่างเพียงพอ ชุมชนคลิตี้ล่างร้องเรียนซ้ำว่ารัฐไม่ฟังเสียงประชาชน และแนวทางที่ใช้ไม่ยั่งยืน 4) ค่าใช้จ่ายสูง แต่ผลไม่คุ้ม งบประมาณในโครงการฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้รวมทั้งฝายและการล้างตะกอนใช้งบประมาณกว่า 460 ล้านบาทแต่พื้นที่ยังคงปนเปื้อน และชาวบ้านยังไม่สามารถใช้น้ำเพื่ออุปโภคบริโภคได้เต็มรูปแบบ 5) ศาลปกครองสูงสุดชี้ให้รัฐต้องรับผิด ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาในปี 2556 ให้ กรมควบคุมมลพิษรับผิดชอบฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้ ให้กลับสู่สภาพเดิมชี้ว่าแนวทางที่ใช้ในอดีต “ไม่เพียงพอ” และ “ไม่ตรงจุด” จำเป็นต้องจัดทำแผนใหม่ร่วมกับชุมชน
 
โครงการก่อสร้างฝายดักตะกอนเพื่อแก้ไขปัญหากรณีพบสารปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐานใน “แม่น้ำกก”ระยะเร่งด่วน กรมทรัพยากรน้ำกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้วางแผนงบประมาณการก่อสร้างระยะสั้น งบประมาณรวม976 ล้านบาท 1. ระบบดักตะกอนแบบฝายและตัวกลางดูดซับชั่วคราว จำนวน 10แห่ง งบประมาณ 538ล้านบาท 2. แก้มลิงร่วมกับบึงประดิษฐ์ลอยน้ำ จำนวน 14แห่ง งบประมาณ 438ล้านบาท งบประมาณก่อสร้างระยะยาวองบประมาณรวม7,640 ล้านบาท 1. ประตูระบายน้ำแบบขั้นบันไดสำหรับระยะยาวจำนวน 13แห่ง งบประมาณ 7,640ล้านบาท งบประมาณการบำรุงรักษาระยะยาว งบประมาณรวม295 ล้านบาท 1. ขุดลอกตะกอน (ฝายดักตะกอน)จำนวน 10 แห่ง งบประมาณ 200ล้านบาท/ปี 2. ขุดลอกตะกอน (แก้มลิง)จำนวน 14แห่ง งบประมาณ 70 ล้านบาท/ปี 3. เปลี่ยนตัวกลางดูดซับชั่วคราว (ฝายดักตะกอน)จำนวน 10 แห่ง งบประมาณ 23ล้านบาท/ปี 4. เปลี่ยนทุ่นดักสวะ Log Boom(ฝายดักตะกอน)จำนวน 10 แห่ง งบประมาณ 2 ล้านบาท/ปี

ด้านนายสายัณน์ ข้ามหนึ่ง ผู้อำนวยการสมาคแม่น้ำเพื่อชีวิต ได้กล่าวว่า สถานการณ์ปัจจุบันการตรวจค่าสารโลหะหนักปนเปื้อนในแหล่งน้ำ กก สาย รวก โขง เกินค่ามาตรฐานทุกจุด ปัญหาที่ต้องทำเร่งด่วนในขณะนี้ คือ การจัดหาน้ำดื่ม น้ำใช้ที่สะอาดแจกจ่ายให้ประชาชนในพื้นที่นอกเขตประปาส่วนภูมิภาค ซึ่งในขณะนี้ชาวบ้านในอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ต้องซื้อน้ำดื่มน้ำใช้ในราคาที่แพง คือ 1,200 ลิตร ต่อ 150 บาท ใน 1 เดือนมีค่าใช้จ่ายด้านน้ำสะอาดมากกว่า 3,000 บาทต่อครอบครัว  อันเป็นผลมาจากการห้ามใช้น้ำในแม่น้ำกกโดยตรง และความกังวลใจต่อคุณภาพน้ำในบ่อน้ำตื้นของชาวบ้าน จึงไม่กล้าเสี่ยงใช้น้ำจากแม่น้ำกกและบ่อน้ำตื้นของตัวเอง สารพิษข้ามแดนที่เราไม่เต็มใจรับ และเราก็ไม่เต็มใจที่จะจ่ายเพื่อแก้ปัญหาสารพิษด้วยเงินภาษีของพวกเรา โดยผู้ก่อสารพิษไม่รับผิดชอบใดๆเลย  ประเทศไทยและชาวบ้านในลุ่มน้ำกก สาย รวก โขง ไม่ได้มีหน้าที่เป็นโรงกำจัดสารพิษ เราไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการทำเหมืองในพม่า ว้า โดยทุนจีน การทำเหมืองต้นน้ำทำนอกเขตประเทศไทย ส่งสารพิษมาให้ประเทศไทยบำบัด การสร้างฝายดักสารพิษเท่ากับว่าเรายอมรับ เราเต็มใจ เป็นโรงกำจัดสารพิษ อย่างเต็มใจและสมยอม ยอมที่จะเอาเงินภาษีของประชาชนผู้ที่จะได้รับสารพิษไปใช้แทนผู้ก่อสารพิษ  

“สมาคมฯจึงขอเรียกร้องการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนจากรัฐบาลในขณะนี้ให้จัดหาน้ำดื่มน้ำใช้สะอาดบริการให้ชุมชน จนกว่าสถานการณ์การปนเปื้อนโลหะหนักในน้ำกก สาย รวก โขง จะคลี่คลายไปสู่ปกติ ซึ่งสอดคล้องกับข้อเรียกร้องของเครือข่ายประชาชนปกป้องแม่น้ำ กก สาย รวก โขง ที่เรียกร้องให้ปิดเหมืองในพม่า ว้า เพื่อหยุดปัญหาสารพิษปนเปื่อนในลำน้ำอย่างเร่งด่วนที่สุด ต้องเจรจาปิดเหมืองสารพิษก่อนเป็นอันดับแรก การสร้างฝายไม่ใช่การแก้ปัญหาเร่งด่วนและไม่ใช่คำตอบแรกของการแก้ไขปัญหาในขณะนี้ ต่อให้เราสร้างฝายเป็นหมื่นแห่งก็แก้ปัญหาไม่ได้ ถ้าไม่แก้หรือปิดเหมืองต้นเหตุ ไม่เห็นด้วยกับแนวทางการสร้างฝายดักสารพิษ เพื่อทำหน้าที่เป็นโรงกำจัดสารพิษข้ามพรมแดนให้ผู้ก่อสารพิษจากต้นน้ำ” ผู้อำนวยการสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต กล่าว

หน้าแรก » ภูมิภาค