เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 6 สิงหาคม 2568 สมาพันธ์ข้าราชการบำนาญภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จัดการประชุมเสวนา “แนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้สินครูและข้าราชการบำนาญ” ที่ ชั้น 3 ห้องประชุมสหกรณ์ออมทรัพย์ครูมหาสารคาม จำกัด โดยได้รับเกียรติจาก ดร.เกศทิพย์ ศุภวานิช รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นประธานเปิดงานและบรรยายพิเศษ ด้วยการ Video Call การเสวนาครั้งนี้มีผู้ทรงคุณวุฒิร่วมให้ความรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์หลากหลายท่าน อาทิดร.ณรินทร์ ชำนาญดู ประธานอนุกรรมการแก้ไขปัญหาหนี้สินเงินกู้สวัสดิการข้าราชการและพนักงานของรัฐ,นายสวัสดิ์ พรมโสภณ ประธานสมาพันธ์ข้าราชการบำนาญภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ,ดร.พลพิพัฒน์ วัฒนเศรษฐานุกุล รองผู้อำนวยการศูนย์ขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาหนี้สินครู พร้อมด้วยวิทยากรจากสหกรณ์ออมทรัพย์ครู และข้าราชการบำนาญที่ประสบความสำเร็จในการปลดหนี้จากหลายจังหวัด

นายสวัสดิ์ พรมโสภณ กล่าวว่า จุดประสงค์หลักของเวทีเสวนาครั้งนี้ เพื่อรวบรวมแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้สินของข้าราชการบำนาญ โดยเฉพาะกลุ่มที่ได้รับผลกระทบรุนแรงหรือ “กลุ่มเปราะบาง” ที่ยังคงมีภาระหนี้สินหลังเกษียณ โดยหวังให้กรมบัญชีกลางเข้ามามีบทบาทในการปิดหนี้ให้แก่กลุ่มที่มีความเดือดร้อนอย่างเร่งด่วน รวมถึงขับเคลื่อนนโยบายอย่างเป็นระบบเพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรม    

ขณะเดียวกัน ดร.ณรินทร์ ชำนาญดู ได้กล่าวถึงแนวทางการแก้ปัญหาเชิงนโยบายว่า การปิดหนี้มรดกตกทอดสามารถดำเนินการได้ไม่ยาก หากยึดตามเงื่อนไขในสัญญาของกรมบัญชีกลาง โดยเฉพาะในกรณีที่ผู้กู้ไม่สามารถชำระหนี้ หรือเสียชีวิต กรมบัญชีกลางต้องเป็นผู้รับผิดชอบในการปิดหนี้ต่อสถาบันการเงิน ซึ่งเป็นสิทธิที่ควรได้รับการผลักดันอย่างจริงจัง    

ดร.ณรินทร์ ยังเสนอให้สหกรณ์ออมทรัพย์และสถาบันการเงินพิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อให้ข้าราชการบำนาญมีเงินเหลือพอใช้จ่าย พร้อมเน้นย้ำว่าทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน ทั้งผู้กู้ เจ้าหน้าที่สหกรณ์ และหน่วยงานต้นสังกัด เพื่อหาข้อตกลงร่วมกันในการจัดเก็บหนี้ในอัตราที่เหมาะสม ไม่ให้ผู้กู้ต้องตกอยู่ในภาวะลำบาก หรือถูกฟ้องร้องทางกฎหมาย    

การเสวนาปิดท้ายด้วยการเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมได้ซักถามและเสนอความคิดเห็นต่อแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้สินอย่างตรงไปตรงมา โดยผู้เข้าร่วมต่างแสดงความหวังว่าข้อเสนอและแนวทางในวันนี้ จะนำไปสู่การดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อปลดภาระหนี้ให้แก่ข้าราชการบำนาญทั่วภาคตะวันออกเฉียงเหนืออย่างยั่งยืน.