วันพฤหัสบดี ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2568 14:13 น.

อื่นๆ » คอลัมน์

บ้านเมืองพระเครื่อง

เจษ เมืองนนท์ : วันพุธ ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2568, 18.40 น.

“สังคมอุดมปัญญา”  สืบสานตำนานพระสมเด็จ “บ้านเมืองพระเครื่อง” โดย..อาจารย์ เจษ เมืองนนท์

“สังคมอุดมปัญญา”  สืบสานตำนานพระสมเด็จ “บ้านเมืองพระเครื่อง” โดย..อาจารย์ เจษ เมืองนนท์

มนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่มีปฏิสัมพันธ์ต่อกันจนเกิดเป็นสังคมอันกว้างใหญ่ พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน แม้บางครั้งอาจต่างทางความคิดบ้าง แต่ที่สุดแล้ว ทุกคนล้วนเป็นส่วนหนึ่งของสังคมอันอุดมปัญญานั้น

วงการพระเครื่องก็เช่นเดียวกัน..!

ด้วยความหลากหลายทางการสื่อสาร และถั่งโถมด้วยทฤษฎีจากความเชื่อของปัจเจกบุคคล ทำให้เกิดความเห็นต่างในหลายๆครั้ง ซึ่งเป็นเรื่องปรกติในสังคมอยู่แล้ว..

แต่กระนั้น มันก็ทำให้เกิดเป็นคลิปที่เป็นไวรัล 2 คลิปในขณะนี้

คลิปแรกเป็นของผู้ยิ่งใหญ่จากย่านรัชดาที่เปิดเผยหลักการในการตรวจสอบพระสมเด็จผ่านเครื่องสแกน ซึ่งหากเป็นพระสมเด็จแท้แล้ว จะต้องประกอบด้วยธาตุหลัก 6 ธาตุ โดยมีธาตุสำคัญที่จะต้องมีคือ โมลิบดินั่ม และจะต้องใชัเวลาในการสแกนอย่างน้อย 20 วินาที แต่ประเด็นสำคัญคือ ได้มีการพาดพิงไปถึงบุคคลที่สามบางท่านที่รับสแกนตรวจสอบพระว่าทำผิดหลักการคือ สแกนเพียง 10 วินาที และไม่มีโมลิบดินั่ม ซึ่งเป็นธาตุสำคัญ ทำให้เกิดข้อสงสัยถึงมาตรฐานในการตรวจสอบ

เมื่อฟังคลิปจบและตัดสินด้วยใจเป็นธรรมแล้ว คำพูดของผู้อาวุโสย่านรัชดาก็เป็นเรื่องประเทืองปัญญา และเพิ่มพูนความรู้ได้อย่างน่าชื่นชม..

ถัดมาไม่นานก็มีคลิปชี้แจงจากอาจารย์เจ้าของทฤษฎี ISO โดยได้กล่าวถึงหลักการในการสแกนพระสมเด็จว่า การสแกนเพียง 10 วินาทีที่ถูกพาดพิงนั้น เป็นการ "ให้เช่าชั่วโมง" ในการตรวจสอบพระสำหรับเจ้าของที่มีพระจำนวนมากเท่านั้น ไม่ใช่มาตรฐานการตรวจสอบขององค์กร ที่จะต้องมีกรรมวิธีตรวจสอบอีกหลายวิธี มิใช่เพียงแค่การสแกนเท่านั้น แต่ประเด็นสำคัญในคลิปนั้นก็คือ การระบุว่า "การสแกนไม่สามารถตรวจสอบพระสมเด็จได้ ต่อให้สแกน 3 นาที ก็ไม่สามารถยืนยันความแท้ได้ ต้องมีการตรวจสอบด้วยวิธีการอื่นๆประกอบด้วย"

หากฟังด้วยใจเป็นธรรมแล้ว คลิปดังกล่าวก็เป็นเรื่องที่รับฟังได้ และยังแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจในความพยายามที่จะใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์เข้ามาร่วมในการตรวจสอบพระอีกด้วย

นับเป็นคลิปที่น่าชื่นชมทั้ง 2 คลิปที่เป็นไวรัลในวงการพระเครื่องไทยขณะนี้..!

มนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่ย่อมมีความเป็นต่างกันบ้างในบางครั้ง แต่ทุกคนล้วนมี "หิริโอตัปปะ" คือความอดทนอดกลั้น พิจารณาด้วยเหตุและผล..

และแน่นอนว่า..ยากที่จะตัดสินว่าอันใดถูก อันใดผิด แต่เมื่อดูเจตนาของทั้งสองฝ่ายแล้ว ล้วนมีเจตนาที่ดีในการพัฒนาวงการพระเครื่องให้มีมาตรฐานสูงยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมอย่างยิ่ง

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงเป็นเรื่องที่เข้าใจผิดอันเล็กน้อย ซึ่งมันไม่เป็นผลดีกับใครทั้งสิ้น และมันสะท้อนให้เห็นเจตนาที่ดีของทุกท่านที่ปรารถนาดีอยากให้วงการพระเครื่องเจริญก้าวหน้าต่อไป

   ทางออกที่ดีที่สุดก็คือ การถอยคนละครึ่งก้าว ละทิ้งจุดต่าง แสวงจุดร่วม แล้วร่วมมือกันเพื่อสร้างสรรค์สังคมพระเครื่องให้งดงามตลอดไป..!!!