การศึกษา
มทร.รัตนโกสินทร์ยกระดับว่านห่างจระเข้ประจวบฯ
ติดตามข่าวด่วน กระแสข่าวบน Facebook คลิกที่นี่

มทร.รัตนโกสินทร์ยกระดับว่านห่างจระเข้ประจวบฯ
ผศ.ดร.ธเนศวร นวลใย อาจารย์คณะศิลปะศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ (มทร.รัตนโกสินทร์) วิทยาเขตวังไกลกังวล หัวหน้าชุดโครงการการวิจัยเพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ OTOP ประเภทสปาจากทรัพยากรพื้นถิ่นด้วยกลไกการขับเคลื่อนห่วงโซ่คุณค่าใหม่ที่มีโครงสร้างการกระจายรายได้สู่ชุมชนอย่างยั่งยืน โดยการร่วมทุนกับ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม หรือ (สกสว.) เปิดเผยว่า เนื่องจากพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีพื้นที่ปลูกว่านหางจระเข้มากที่สุดในประเทศ (ราว 1 หมื่นไร่) ซึ่งเมื่อคิดหักลบต้นทุนจากราคาที่ขายให้โรงงานได้กิโลกรัมละ 2 บาท เกษตรกรผู้ปลูกว่านหางจระเข้จะได้กำไรเพียง 1.50 บาทต่อกิโลกรัม จึงต้องการยกระดับรายได้ของเกษตรกรและผู้แปรรูป โดยใช้จุดเด่นของของเนื้อว่านหางจระเข้ ที่เป็นทั้งสารให้ความชุ่มชื่น และต้านทานเชื้อก่อโรค มาเจาะตลาดเครื่องสำอางและตลาดผลิตภัณฑ์สปา และเพื่อให้ผลลัพธ์จากงานวิจัยเกิดการใช้ประโยชน์ได้จริง งานวิจัยชุดนี้จึงเป็นการทำงานร่วมกับวิสาหกิจชุมชนที่เกี่ยวข้องกับการแปรรูปว่านหางจระเข้ในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ รวม 3 แห่งคือ วิสาหกิจชุมชน 100 พันมะพร้าวไทย, วิสาหกิจชุมชน Aloe vera ไร่แม่มะลิ กุยบุรี และวิสาหกิจชุมชน WOODS HERB TANAKA ซึ่งมีการนำว่านหางจระเข้มาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับร่างกายอยู่แล้ว มหาวิทยาลัยได้มีการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรม จากผู้เชี่ยวชาญไปส่งเสริมให้ชาวบ้านนำวัตถุดิบภายในประเทศมาใช้มากขึ้น ซึ่งภายใต้ชุดโครงการดังกล่าว มหาวิทยาลัยและนักวิจัยได้ร่วมกันพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์เดิมที่มีการผลิตอยู่แล้วให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังพัฒนาแบรนด์และบรรจุภัณฑ์ รวมถึงพัฒนาช่องทางการตลาดแบบออนไลน์ให้กับวิสาหกิจชุมชนทั้ง 3 แห่ง
“นักวิจัยทำการพัฒนาสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพของว่านหางจระเข้ในระยะต่างๆ สำหรับการแบ่งเกรด เพื่อใช้เป็นมาตรฐานส่วนผสมในเครื่องสำอาง อีกทั้งยังเข้าไปวิเคราะห์ห่วงโซ่คุณค่าเดิมของว่าหางจระเข้ เพื่อพัฒนาห่วงโซ่คุณค่าในการใช้ประโยชน์ของว่านหางจระเข้ โดยเน้นวัตถุดิบที่ปลอดภัยสนับสนุนให้เกษตรกรหันมาปลูกว่านหางจระเข้แบบอินทรีย์ เพื่อให้ได้วัตถุดิบที่สามารถนำมาใช้ในการทำเครื่องสำอางได้อย่าง ซึ่งมั่นใจข้อค้นพบสำคัญของงานวิจัยนี้ก็คือ นวัตกรรมในการผลิตสารตั้งต้นจากเนื้อว่านหางจระเข้ที่ไม่ซับซ้อน และมีต้นทุนต่ำ ที่สำคัญคือได้สารที่มีฤทธิ์ในการยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนสที่ทำให้ผิวเกิดการหมองคล้ำไม่แตกต่างจากวิธีการสกัดที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน อีกทั้งมีการจัดเกรดว่านหางจระเข้พบว่าว่านหางจระเข้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมในการสกัดเป็นส่วนผสมสำหรับเครื่องสำอางคือว่านหางจระเข้ระยะที่ 3 อายุ (7-9 เดือน) เนื่องจากมีปริมาณสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพที่เหมาะสม นอกจากนี้ยังร่วมกับวิสาหกิจชุมชนออกแบบแพ็กเกจและฉลากให้สามารถสื่อสารจุดเด่นของผลิตภัณฑ์และแหล่งปลูก รวมถึงงานวิจัยด้านการตลาดออนไลน์ ที่ทำให้ผลิตภัณฑ์นี้ไปสู่กลุ่มเป้าหมายซึ่งได้แก่ผู้สนใจในสุขภาพผิวที่มีอยู่ทั้งในและต่างประเทศได้โดยตรง ซึ่งจากเดิมที่เกษตรกรจำหน่ายว่านหางจระเข้ให้กับโรงงานแปรรูปได้กิโลกรัมละ 2 บาท หากเกษตรกรสามารถผลิตว่านหางจระเข้แบบอินทรีย์ เพื่อส่งเข้าสู่กระบวนการผลิตเป็นเครื่องสำอางหรือผลิตภัณพ์เพื่อผิวพรรณในอุตสากรรมสปาแล้ว มูลค่าก็อาจเพิ่มสูงถึงกิโลกรัมละ 1,000 บาทเลยทีเดียว”
(email ข่าวการศึกษา เยาวชน ศิลปวัฒนธรรม saowaporn@hotmail.com , bat_mamsao@yahoo.com)
ติดตามข่าวด่วน กระแสข่าวบน Facebook คลิกที่นี่
หน้าแรก » การศึกษา
ข่าวในหมวดการศึกษา ![]()
138 ปี “มจร” สืบสาน รักษา ต่อยอด พระราชปณิธานล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 ทรงให้เป็นสถานที่ “ศึกษาพระไตรปิฏก และวิชาชั้นสูง” 07:14 น.
- สถาปัตย์ ม.รังสิต จับมือ LPN ปั้นสถาปนิกยุใหม่ พัฒนาทักษะนักศึกษา ต่อยอดงานวิจัยจากห้องเรียนสู่ห้องทำงานจริง 21:11 น.
- มทร.พระนครเปิดคอร์สติวภาษาอังกฤษ เพื่อธุรกิจระดับสากล 15:51 น.
- พระสงฆ์อีสานล่างรวมพลัง ขับเคลื่อน “วัดสุขภาวะ” ลดปัจจัยเสี่ยงด้วยพุทธธรรม 15:14 น.
- เปิดตัว “The Media ” รุ่นที่ 7 หลักสูตรพัฒนาศักยภาพการใช้สื่อสำหรับผู้บริหารระดับสูงเพื่อความสำเร็จของธุรกิจยุคใหม่ 15:09 น.