วันพุธ ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 08:33 น.

การศึกษา

ผอ.สำนักพุทธฯโผล่สภา ยันเดินหน้าคุมเข้มวัดเงินสดไม่เกินแสน

วันอังคาร ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2568, 13.21 น.

เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2568 ที่อาคารรัฐสภา นายอินทพร จั่นเอี่ยม ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ พร้อมด้วยนายบุญเชิด กิตติธรางกูร รองผู้อำนวยการฯ ได้ให้สัมภาษณ์ถึงแนวทางจัดระเบียบวัดทั่วประเทศ โดยยืนยันว่าพระสงฆ์ที่ปฏิบัติดีมีอยู่มาก แม้สังคมจะได้รับผลกระทบจากพฤติกรรมส่วนบุคคลบางราย

นายอินทพรเปิดเผยว่า มาตรการจำกัดการถือเงินสดของวัดไม่เกิน 100,000 บาทนั้น ได้เริ่มผลักดันตั้งแต่ปี 2564 ผ่านกฎกระทรวงที่กำหนดให้วัดจัดทำบัญชีรับ-จ่ายอย่างเป็นระบบ เปิดบัญชีธนาคารชื่อวัด โดยมีผู้มีอำนาจเบิกจ่ายร่วมกัน 2 ใน 3 คน และหากมีเงินสดเกินจากนี้ต้องนำฝากธนาคาร อย่างไรก็ตาม กฎดังกล่าวไม่สามารถบังคับใช้จริงได้ เนื่องจากไม่มีบทลงโทษชัดเจน จึงจำเป็นต้องใช้อำนาจคณะสงฆ์ โดยมหาเถรสมาคมมีมติให้ถือเป็นวินัยสงฆ์ หากไม่ปฏิบัติตามจะถูกตรวจสอบและลงโทษเช่นเดียวกับวินัยข้าราชการ

สำหรับเหตุผลที่กำหนดเพดานเงินสดไม่เกิน 1 แสนบาท นายอินทพรอธิบายว่า เพื่อป้องกันความเสี่ยงการทุจริตจากการถือเงินสดจำนวนมาก โดยเฉพาะวัดที่มีรายได้สูงจากเงินบริจาค จึงสนับสนุนให้ใช้ระบบ e-Donation ผ่าน QR Code ซึ่งปัจจุบันวัดกว่า 86% จากทั้งหมด 44,000 วัดทั่วประเทศเข้าสู่ระบบแล้ว พร้อมชวนประชาชนหันมาใช้วิธีนี้ในการทำบุญเพื่อลดการใช้เงินสดและเพิ่มความโปร่งใส

เมื่อถูกถามถึงมาตรการเรียกคืนความศรัทธาในวงการสงฆ์ นายอินทพรกล่าวว่า ปัจจุบันมีพระอยู่กว่า 300,000 รูป ส่วนใหญ่ยังคงยึดมั่นในพระธรรมวินัย และแม้พฤติกรรมบางรายจะส่งผลกระทบต่อภาพรวม แต่ขอให้ประชาชนเชื่อมั่น พร้อมขอความร่วมมือจากชุมชนในการตรวจสอบวัดและพระในพื้นที่

เกี่ยวกับความคืบหน้าของร่างกฎหมายห้ามพระสงฆ์ “เสพเมถุน” นายอินทพรระบุว่า ได้ส่งร่างให้หลายฝ่ายร่วมพิจารณา โดยพบว่ามีความคิดเห็นหลากหลาย โดยเฉพาะในหมวดโทษ ซึ่งครอบคลุมทั้งพระ สีกา และฆราวาสที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ไม่ใช่เฉพาะกรณีการเสพเมถุนเท่านั้น แต่รวมถึงพฤติกรรมอื่นที่ทำให้คณะสงฆ์เสื่อมเสีย เช่น การอวดอุตริ สักยันต์ และประกอบพิธีรดน้ำมนต์โดยมิชอบ ก็จะมีบทลงโทษกำกับไว้ด้วย ซึ่งบางโทษมีข้อเสนอว่ารุนแรงเกินไป จึงอยู่ระหว่างการปรับปรุง

นายอินทพรยังกล่าวถึงการประชุมเมื่อวันที่ 13 ก.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการประชุมเร่งด่วนเพื่อรับทราบกรณีพระที่ยังไม่ลาสิกขาหรือยังติดต่อไม่ได้ โดยมีรายงานว่าหนึ่งในพระที่ถูกกล่าวหาในจังหวัดพิจิตรได้ลาสิกขาแล้ว ซึ่งถือว่าพ้นจากความผิดทางพระธรรมวินัย อย่างไรก็ตาม หากตรวจสอบพบว่ามีการนำเงินวัดไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ในช่วงที่ยังเป็นพระ ก็จะยังถือว่าอยู่ในฐานะเจ้าพนักงานของรัฐ และอาจมีความผิดในทางกฎหมายได้

ในตอนท้าย นายอินทพรกล่าวว่า ขณะนี้ยังมีพระอีกอย่างน้อย 11 รูป ที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูล และได้กำชับให้มหาเถรสมาคมเร่งดำเนินการตามขั้นตอนอย่างโปร่งใสและจริงจัง เพื่อรักษาศรัทธาของสังคมต่อสถาบันสงฆ์.

หน้าแรก » การศึกษา