วันพุธ ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 08:17 น.

การศึกษา

พระนักวิชาการสันติศึกษา ร่วมถกสิทธิมนุษยชนผ่านมุมมองพุทธศาสนา ห่วงวิกฤตสถาบันสงฆ์–เสนอแนวทางปฏิรูป

วันอังคาร ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2568, 11.45 น.

เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2568 พระเมธีวัชรบัณฑิต (หรรษา ธมฺมหาโส) เจ้าอาวาสวัดใหม่ กรุงเทพมหานคร และผู้อำนวยการหลักสูตรปริญญาเอกสาขาสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคมที่ผ่านมา ได้มีการจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างนักศึกษาหลักสูตรสิทธิมนุษยชน และตัวแทนจากสถาบันพัฒนาสิทธิมนุษยชน กระทรวงยุติธรรม โดยเน้นการเชื่อมโยงแนวคิดสิทธิมนุษยชนกับหลักพุทธธรรม พร้อมอภิปรายถึงความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมาย สิทธิมนุษยชน และสถาบันสงฆ์ในบริบทปัจจุบัน

หัวข้อสำคัญในการแลกเปลี่ยน รวมถึงเรื่องมนุษยนิยม ปัญหาวรรณะ การเลือกปฏิบัติ (Discrimination) และการตีความศีลข้อ 3 เกี่ยวกับประเด็นทางเพศและความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ+) ที่เกี่ยวข้องกับ พ.ร.บ. คู่ชีวิต และรัฐธรรมนูญมาตรา 4 ว่าด้วยสิทธิ เสรีภาพ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

อย่างไรก็ดี แม้จะกำหนดเวลาอภิปรายไว้ 3 ชั่วโมง แต่นักศึกษาใช้เวลาถึงกว่า 2 ชั่วโมงในการอภิปรายวิกฤตการณ์ของพระสงฆ์ในสังคมไทย ทั้งในด้านภาพลักษณ์ ความเสื่อมศรัทธา และผลกระทบจากข่าวสารที่ผิดพลาด ซึ่งหลายท่านชี้ว่าเป็นการละเมิดหลัก "สันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์" ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 29 วรรคสอง

ช่วงท้ายของกิจกรรมมีการพูดคุยถึงมาตรการฟื้นฟูศรัทธาต่อสถาบันสงฆ์ในระยะสั้น กลาง และยาว โดยเน้นการยกระดับความโปร่งใส การพัฒนาโครงสร้างการบริหาร และการเปิดพื้นที่ให้พุทธศาสนาเป็นแหล่งเรียนรู้สัจธรรมที่แท้จริง

นอกจากนี้ การสนทนานอกรอบยังมีข้อเสนอที่น่าสนใจจากนักกฎหมายและผู้ทรงคุณวุฒิ เช่น

การผลักดันให้คณะสงฆ์มีความเป็นอิสระในการบริหารงาน โดยให้สำนักพุทธศาสนาแห่งชาติทำหน้าที่เป็นหน่วยงานสนับสนุนเชิงนโยบาย

การปรับโครงสร้างการบริหารเป็นระบบสองสภา ได้แก่ “สภาสูง” คือ สภาของสมเด็จพระสังฆราช และ “สภาล่าง” หรือคณะกรรมการบริหาร พร้อมมีสำนักงานรองรับงานอย่างมีระบบ

อีกประเด็นที่จุดประกายการวิพากษ์คือ กรณีที่รัฐบาลเตรียมเสนอร่าง พ.ร.บ. ส่งเสริมพระพุทธศาสนาเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา โดยบางความเห็นแนะว่าควรพิจารณาควบรวมเนื้อหาดังกล่าวเข้ากับการแก้ไข พ.ร.บ. คณะสงฆ์ที่กำลังดำเนินอยู่ เพื่อหลีกเลี่ยงการกระจายบทกฎหมายและให้เกิดความสอดคล้องในทางปฏิบัติ

การแลกเปลี่ยนในครั้งนี้สะท้อนถึงความตื่นตัวของภาควิชาการและภาคประชาชนในการร่วมถกอนาคตของสถาบันสงฆ์ท่ามกลางกระแสสังคมที่เปลี่ยนแปลง พร้อมวางรากฐานการพัฒนาแนวทางที่ยึดหลักสิทธิมนุษยชนควบคู่กับหลักธรรมทางพุทธศาสนาอย่างสมดุล 

สตรีเป็นศัตรูของพรหมจรรย์จริงหรือ? พระพุทธศาสนาตอบอย่างไร

พร้อมกันนี้พระเมธีวัชรบัณฑิต ได้เคยเสนอบทความเรื่อง สตรีเป็นศัตรูของพรหมจรรย์จริงหรือ โดย ได้ตั้งคำถามสำคัญเกี่ยวกับมุมมองของพระพุทธศาสนาต่อ "สตรี" ว่าเป็นศัตรูของพรหมจรรย์จริงหรือไม่ โดยอธิบายเชิงลึกถึงคำว่า "พรหมจรรย์" และ "เมถุนธรรม" ตลอดจนเจตนารมณ์ของพระพุทธเจ้าต่อการดำรงชีวิตของพระภิกษุ

คำว่า "พรหมจรรย์" แปลว่า "ความประพฤติที่ประเสริฐ" ซึ่งในการปฏิบัติของพระภิกษุหมายถึงการเว้นจากเพศสัมพันธ์ หรือ “เมถุนวิรัติ” การเว้นนี้มิใช่การเหยียดเพศหญิง แต่เป็นการป้องกันกิเลสที่อาจเกิดจากความใกล้ชิดและการครอบงำจิตใจด้วยความกำหนัด โดยบทความย้ำว่า สตรีไม่ใช่ศัตรูในตัวเอง แต่เป็นอุปสรรค หาก ผู้ปฏิบัติไม่สามารถควบคุมอินทรีย์ของตนได้

พระพุทธเจ้ามิได้ห้ามการปฏิสัมพันธ์กับสตรีโดยสิ้นเชิง ทรงเน้นให้ภิกษุ "ตั้งสติ" และระวังตนในทุกการกระทำ โดยเน้นว่าสตรีไม่ใช่ผู้จงใจทำลายพรหมจรรย์ แต่เป็นธรรมชาติของความพึงใจที่อาจดึงดูดจิตใจผู้ปฏิบัติให้ออกนอกทางได้

ตัวอย่างในพระไตรปิฎก เช่น การที่พระพุทธเจ้ารับนิมนต์จากหญิงโสเภณีอย่างนางอัมพปาลี หรือยกย่องสตรีผู้บำเพ็ญธรรม เช่น นางเขมา และนางอุบลวรรณา ยืนยันว่าพระองค์ไม่เคยมีท่าทีดูหมิ่นสตรี

ข้อสรุปจากบทความนี้ชี้ให้เห็นว่า พระพุทธเจ้ามีจุดยืนชัดเจนว่า ภิกษุควรมีท่าทีที่เหมาะสมและระมัดระวังต่อการปฏิสัมพันธ์กับสตรี โดยใช้สติควบคุม ไม่ใช่มองว่าสตรีเป็นศัตรูโดยเนื้อแท้ แต่เป็นสิ่งที่ควรระวังเพื่อไม่ให้จิตใจคล้อยตามกิเลสจนผิดวินัย

สาระสำคัญ:

"ศัตรูของพรหมจรรย์" ไม่ได้หมายถึงสตรีในตัวตน แต่หมายถึง กิเลส ที่เกิดจากความกำหนัด

พระพุทธเจ้าทรงเน้นการ "มีสติ" เมื่อปฏิสัมพันธ์กับสตรี

สตรีมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมพระพุทธศาสนา

การเว้นเมถุนเป็นหลักสำคัญในการดำรงสมณเพศ แต่ไม่ได้แปลว่าเพศหญิงเป็นฝ่ายเลวร้าย

บทความนี้จึงเป็นการไขความเข้าใจผิด และนำเสนอทัศนะพระพุทธศาสนาอย่างรอบด้านต่อบทบาทและธรรมชาติของ "สตรี" โดยไม่ตัดสินด้วยอคติ แต่ให้มองผ่านกรอบของ "ธรรมะและการปฏิบัติ" อย่างมีสติ.

ทั้งนี้บทความฉบับเต็ม - https://www.mcu.ac.th/article/detail/478
 

หน้าแรก » การศึกษา