วันอังคาร ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2568 05:13 น.

การศึกษา

ม.กรุงเทพ พลิกโมเดลการเรียนรู้ ยุคที่ปริญญาต้อง “ใช้งานได้จริง”

วันจันทร์ ที่ 01 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 19.49 น.

ม.กรุงเทพ พลิกโมเดลการเรียนรู้ ยุคที่ปริญญาต้อง “ใช้งานได้จริง”

 

 

ในยุคที่เทคโนโลยีและสังคมหมุนเร็วจนแทบตามไม่ทัน คำถามสำคัญของนักเรียนและผู้ปกครองยังคงเหมือนเดิม ควรเลือกเรียนอะไรถึงจะไม่ตกยุค? ปริญญาแบบไหนที่จะยังมีคุณค่าในวันที่โลกเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ที่ม.กรุงเทพไม่ได้มองแค่การ "สอน" ความรู้ที่มีอยู่ แต่กำลัง "ออกแบบ" หลักสูตรเพื่อสร้าง "คน" ที่อุตสาหกรรมในอนาคตกำลังมองหาอย่างจริงจัง เป็นการสร้างบุคลากรที่ไม่ได้มีแค่ความรู้ในตำรา แต่มีทักษะ ทัศนคติ และประสบการณ์ที่ทำได้จริงพร้อมเผชิญการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทุกวัน

 

วิศวกร AI ที่เป็น CEO ได้

 

 

 

อ.ภัทรารัตน์ ตั้งนิสัยตรง ผู้อำนวยการหลักสูตรวิศวกรรมปัญญาประดิษฐ์และการเป็นผู้ประกอบการ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ กล่าวว่าปัญหาใหญ่ที่ภาคอุตสาหกรรมไทยกำลังเผชิญ ไม่ใช่เพียงความต้องการวิศวกร AI แต่เป็นวิกฤตการขาดแคลนบุคลากรด้านนี้  ข้อมูลจากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DE) ระบุว่า ประเทศไทยขาดแคลนวิศวกร AI ถึงปีละ 80,000 ตำแหน่ง แต่ทักษะด้านเทคนิคเพียงอย่างเดียวกลับไม่เพียงพออีกต่อไป วิศวกรแบบดั้งเดิมมักเก่งเรื่องเทคโนโลยี แต่ขาดทักษะการเป็นผู้ประกอบการ เช่น การสื่อสาร ความคิดสร้างสรรค์ และการวางแผนธุรกิจ ทำให้ไอเดียดีๆ หลายอย่างไม่สามารถเกิดขึ้นจริงในเชิงพาณิชย์ได้

 

“ม.กรุงเทพได้ร่วมมือกับสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) สร้างหลักสูตรที่ผสมผสานความรู้ด้านวิศวกรรม AI  เข้ากับทักษะการเป็นผู้ประกอบการ โดยใช้ปรัชญา "ล้มให้เร็ว เรียนรู้ให้เร็ว" (fail fast, learn fast) ทำให้นักศึกษาได้เริ่มสร้างไอเดียธุรกิจและออกไปพูดคุยกับลูกค้าตัวจริงตั้งแต่ปี 1 พวกเขาไม่ได้เรียนแค่ทฤษฎี แต่เรียนรู้จากโลกการทำงานจริงๆ ผ่านการลงมือทำและแก้ไขปัญหาซ้ำแล้วซ้ำเล่าตลอด 4 ปี” อ.ภัทรารัตน์ กล่าว

เชี่ยวชาญ AI เข้าใจความเป็น 'คน'

 

เป้าหมายของหลักสูตรดังกล่าว ไม่ได้เพียงผลิตวิศวกร แต่เป็นการสร้างบุคลากรสายพันธุ์ใหม่ บัณฑิต จะเป็นนวัตกร AI ที่มีหัวใจและความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งคำว่ามีหัวใจ หมายถึงความลึกซึ้งกว่าแค่ความรู้สึก เพราะผู้ประกอบการที่ดีต้องเข้าใจคน เพื่อสร้างนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ตลาดและสร้างธุรกิจให้ประสบความสำเร็จได้จริง

 

“หลักสูตรนี้จะช่วยแก้ปัญหาสำคัญของวงการวิศวกร เพราะบัณฑิตวิศวกรรมที่เก่งเชิงเทคนิค ส่วนใหญ่จะขาดทักษะด้านการสื่อสาร พรีเซนเตอร์ไอเดีย หรือนวัตกรรมที่คิดค้นไม่ได้ รวมถึงความเป็นผู้ประกอบการ  ความร่วมมือดังกล่าวจะเป็นการหลอมรวมความเป็นเลิศด้านวิศวกรรมจาก สจล. โดย 2 ปีแรกเด็กจะเรียนที่สจล. เข้ากับความแข็งแกร่งด้านความคิดสร้างสรรค์และจิตวิญญาณผู้ประกอบการของ ม.กรุงเทพ จากการเรียนที่ม.กรุงเทพ ไป 2 ปีสุดท้าย แต่เด็กจะได้เรียนจากอาจารย์ทั้ง 2 สถาบัน บ่มเพาะความเป็นวิศวกร AI และความเป็นผู้ประกอบการ” อ.ภัทรารัตน์ กล่าว

 

ในยุคที่ AI ก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง การสร้าง "นวัตกรที่มีหัวใจ" จึงไม่ใช่แค่จุดขายของหลักสูตร แต่เป็นเกราะป้องกันสำคัญต่อความเสี่ยงทางจริยธรรมของเทคโนโลยี เป็นหลักประกันว่านวัตกรรมแห่งอนาคตจะถูกพัฒนาขึ้นเพื่อรับใช้และยกระดับมวลมนุษยชาติ

 

 

 

 

 

เรียนรู้ผ่าน Incubation Program

 

อ.ภัทรารัตน์ กล่าวอีกว่าหลักสูตรนี้ผนวกผ่าน Incubation Program (โครงการบ่มเพาะธุรกิจ) เข้าไปตั้งแต่อยู่ปีที่ 1 ซึ่งมีโครงสร้าง 3 ส่วน คือ 1.Talks เรียนรู้จากประสบการณ์ตรงของผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพ AI 2.Workshops การฝึกฝนทักษะจำเป็น เช่น การวางแผนการเงินและการพัฒนาไอเดีย และ 3.Events เวทีที่นักศึกษาจะได้นำเสนอแผนธุรกิจของตนเองต่อนักลงทุนตัวจริง

 

 

วิศวกร AI ทั่วไปอาจถามว่า “ฉันจะใช้เทคโนโลยีอะไรสร้างสิ่งนี้ได้บ้าง?” แต่วิศวกรที่จบจากม.กรุงเทพจะถามว่า นวัตกรรมชิ้นนี้จะช่วยให้ชีวิตของผู้คนดีขึ้นได้อย่างไร?” นี่คือการเปลี่ยนนิยามของวิศวกรจากผู้สร้างเทคโนโลยีไปสู่นักแก้ปัญหาเพื่อมนุษย์อย่างแท้จริง อยากชวนคนรุ่นใหม่เรียนรู้ความเป็นนวัตกร AI ที่หลักสูตรนี้

 

 

นักการตลาดดิจิทัลที่ทำงานจริง

 

 

 

 

ขณะที่ “หลักสูตรการตลาดดิจิทัล” อีกหนึ่งหลักสูตรที่ให้ความสำคัญกับการลงมือทำจริง มากกว่าทฤษฎีในห้องเรียน ดร.กิตติภูมิ ศุภมนตรี ผู้อำนวยการหลักสูตรการตลาดดิจิทัล กล่าวว่าหากไปถามนักศึกษาที่เรียนม.กรุงเทพว่าเรียนเป็นอย่างไร พวกเขาอาจไม่ได้ตอบว่า "เรียนหนัก" แต่จะตอบว่า "งานเยอะ" เพราะสิ่งที่ได้เรียนรู้ในหลักสูตรการตลาดดิจิทัล ไม่ใช่การท่องจำเพื่อสอบ แต่เป็นการทำงานจริง

 

“หลักสูตรการตลาดดิจิทัล ม.กรุงเทพ เป็นสนามจำลองที่นักศึกษาจะได้เรียนรู้จากสถานการณ์จริง เช่น เมื่อนักศึกษาเสนอไอเดียแคมเปญสุดสร้างสรรค์ อาจเจอคำถามเรียบง่ายแต่ทรงพลังจากลูกค้าตัวจริงว่า "ไอเดียที่จะใช้ซูเปอร์สตาร์ระดับโลกอาจดีมาก แต่รู้ไหมว่าค่าตัวเขาเท่าไหร่?" คำถามแบบนี้จะหล่อหลอมให้นักศึกษาคิดอย่างรอบด้านและปฏิบัติได้จริงภายใต้ข้อจำกัดทางธุรกิจ ดร.กิตติภูมิ กล่าว

 

 

โครงงานของนักศึกษากว่า 70% เป็นโจทย์ที่ได้รับมอบหมายจากลูกค้าในภาคอุตสาหกรรมจริงๆ เช่น แบรนด์ดังอย่าง AMD นักศึกษาต้องทำวิจัยตลาดจริง วางแผนจริง และสร้างสรรค์คอนเทนต์ที่ใช้งานได้จริง จนมีหลายโปรเจกต์ที่ลูกค้าตัดสินใจซื้อไปใช้งานต่อ ทำให้พวกเขาสะสมผลงานระดับมืออาชีพ (Portfolio) ที่จับต้องได้ และพร้อมทำงานทันทีที่เรียนจบ หรืออาจจะถูกดึงตัวไปทำงานตั้งแต่ยังเรียนไม่จบด้วยซ้ำ

 

 

 

 

 

สอนใช้เทคโนโลยี เป็น 'นาย' AI

 

 

ดร.กิตติภูมิ กล่าวต่อไปว่าหลักสูตรดังกล่าว เปิดรับนักศึกษามา 8-9 รุ่น และมีการปรับตัวตลอดเวลาเพื่อให้ก้าวทันโลกเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะ AI  สถาบันการศึกษาบางแห่งอาจกังวลหรือปิดกั้นการใช้เครื่องมือ AI แต่ “ม.กรุงเทพ” กลับมีมุมมองที่สวนกระแส “หลักสูตรการตลาดดิจิทัล” ไม่เพียงไม่ห้ามการใช้เครื่องมืออย่าง ChatGPT แต่ยังสอนให้นักศึกษารู้จักใช้งานอย่างชาญฉลาด เข้าใจข้อจำกัด และมีจริยธรรมในการนำไปใช้

“เป้าหมายสูงสุด คือ การสร้างคนที่สามารถเป็น "ผู้ริเริ่ม" และ "ผู้ตัดสินใจ" ได้โดย AI เป็นเพียงผู้ช่วยที่ทรงพลัง ไม่ใช่คนที่จะเชื่อทุกอย่างที่เครื่องมือบอก เพราะมนุษย์ต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวและใช้งานเครื่องมือใหม่ๆ ให้เป็นประโยชน์สูงสุด ทักษะที่สำคัญที่สุดในยุคนี้ไม่ใช่แค่การกดปุ่มสั่งงาน AI ต้องมีความสามารถในการยืนหยัด ปกป้อง และถกเถียงแนวคิดที่ได้มากับผู้เชี่ยวชาญในโลกธุรกิจจริงได้” ดร.กิตติภูมิ กล่าว

 

 

นี่คือการเตรียมความพร้อมสู่โลกการทำงานจริง ที่ซึ่งประสบการณ์กับลูกค้าและทักษะการใช้เครื่องมือล่าสุด มีค่ามากกว่าความรู้ทางทฤษฎีในตำรา

อย่างไรก็ตาม หลักสูตรนี้ตอบโจทย์นักศึกษารุ่นใหม่อย่างตรงจุด ที่หลายคนมีความฝันอยากจะมีธุรกิจหรือช่องคอนเทนต์เป็นของตัวเอง แต่การสร้างคอนเทนต์ให้มีส่วนร่วม นั้นเป็นเพียงจุดเริ่มต้น ที่นี่สอนให้คิดไกลกว่านั้น คือการวางโมเดลธุรกิจ  และการสร้างรายได้ เพื่อให้ช่องหรือธุรกิจนั้นสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน

 

 

ประชาคมโลกขนาดย่อมในห้องเรียน

 

 

 

 

 

ดร.นิธิวดี จรรยาสวัสดิ์ คณบดีวิทยาลัยนานาชาติจีน และหัวหน้าหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต สาขาการจัดการธุรกิจระหว่างประเทศ (มุ่งเน้นธุรกิจจีน) กล่าวว่า การรู้ภาษาจีนคือตัวสร้างสมดุลที่สำคัญระหว่างวัฒนธรรมธุรกิจโลกตะวันออกและตะวันตก หลักสูตรบริหารธุรกิจ (BBA) ที่เน้นการใช้ภาษาจีนและอังกฤษเพื่อธุรกิจระหว่างประเทศของ ม.กรุงเทพ ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างบัณฑิตที่พร้อมสำหรับเวทีโลก

 

 

“ความแตกต่างของการเรียนรู้ในหลักสูตรดังกล่าว จะเป็นการเปลี่ยนห้องเรียนให้กลายเป็นประชาคมโลกขนาดย่อม ห้องทดลองมีชีวิตสำหรับการพัฒนาธุรกิจข้ามวัฒนธรรม เรียนรู้และสร้างเครือข่ายจากนักศึกษาหลากหลายเชื้อชาติที่มาเรียนร่วมกัน และการรับโจทย์จากธุรกิจ ผู้ประกอบการจริงๆ พวกเขาจะมี ต้นทุนของแต่ละชาติมาผสมผสาน  ก่อให้เกิดโมเดลธุรกิจแบบผสมผสานที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในห้องเรียนที่มีแต่วัฒนธรรมเดียว”

 

 

การเรียนการสอนจะมุ่งเน้นการลงมือทำผ่าน 5 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ การค้าระหว่างประเทศ, ธุรกิจสร้างสรรค์ (Creative Business), ธุรกิจบันเทิง (Entertainment Business) และอีกสองกลุ่มอุตสาหกรรมที่ตอบโจทย์เศรษฐกิจโลก นักศึกษาจะได้แก้โจทย์จริงจากบริษัทพันธมิตร และเรียนรู้การใช้เครื่องมือทางธุรกิจในต่างแดนแต่คนไทยอาจยังไม่คุ้นเคย เช่น แพลตฟอร์มโซเชียลคอมเมิร์ซของจีนอย่าง เสี่ยว หงชู (Xiaohongshu) ซึ่งเป็นความรู้เฉพาะทางที่สร้างความได้เปรียบในตลาด

 

 

 

 

 

อาชีพหลากหลาย ไม่จำกัดแค่พนักงาน

 

 

ดร.นิธิวดี  กล่าวต่อว่า เป้าหมายสูงสุดของหลักสูตรคือการสร้างบุคลากร Mobility ซึ่งไม่ได้ตอบโจทย์การทำงานต่างประเทศ แต่เป็นบุคลากรที่มีความคล่องตัวสูง สามารถดำเนินธุรกิจในบริบทสากลได้ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดในโลก ไม่ว่าจะเปิดบริษัทในไทยโดยมีคู่ค้าเป็นชาวต่างชาติ หรือย้ายไปสร้างโอกาสในประเทศอื่นๆ  ดังนั้น การศึกษาด้านบริหารธุรกิจในศตวรรษที่ 21 ต้องเรียนรู้ทฤษฎี ผ่านการบ่มเพาะวิธีคิดแบบสากล (Global Mindset) การฝึกฝนทักษะความร่วมมือข้ามวัฒนธรรม และการติดอาวุธด้วยเครื่องมือที่ทันสมัยเพื่อนำทางในโลกที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงถึงกัน

 

 

"ธุรกิจในยุคใหม่ที่กว้างไกลกว่าเดิม นักศึกษาไม่ได้ตั้งเป้าเป็นพนักงานออฟฟิศ พวกเขาพร้อมประยุกต์ใช้ความรู้เพื่อสร้างเส้นทางของตัวเอง เช่น การเป็น KOL ที่เจาะตลาดวงการบันเทิงจีนโดยตรง หลักสูตรดังกล่าว เหมาะสำหรับคนที่มองกว้าง และต้องการสร้างอาชีพที่ไร้พรมแดน คว้าโอกาสในอุตสาหกรรมที่หลากหลายด้วยทักษะภาษาจีน และภาษาอังกฤษ เข้าใจการทำธุรกิจของประเทศต่างๆ”

 

 

โลกดิจิทัลที่หมุนเร็วทำให้ทั้งอาจารย์และหลักสูตรต้อง "รีสกิล" อยู่ตลอดเวลา “ม.กรุงเทพ” มหาวิทยาลัยสร้างสรรค์ ต้องอัปเดตเครื่องมือและเนื้อหาการสอนให้ทันสมัยอยู่เสมอ โดยมีการนำเครื่องมือใหม่ๆ ที่องค์กรชั้นนำในต่างประเทศมาบรรจุไว้ในหลักสูตร เชิญผู้เชี่ยวชาญ ผู้ประกอบการจริงมาร่วมพัฒนาหลักสูตร ปั้นบัณฑิตรุ่นใหม่ให้มีความพร้อมและก้าวนำคนอื่นอยู่เสมอ

หน้าแรก » การศึกษา