วันอังคาร ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2568 02:43 น.

การเมือง

อานิสงส์การสร้างกำแพงประเทศเปรียบเทียบกับการสร้างกำแพงวัด 

วันจันทร์ ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2568, 10.04 น.

กำแพงเป็นสิ่งก่อสร้างที่มนุษย์ใช้เพื่อ “กำหนดขอบเขต” ทั้งในมิติทางกายภาพและมิติทางสัญลักษณ์ “กำแพงประเทศ” ทำหน้าที่ป้องกันภัยและกำกับความมั่นคงของรัฐ ส่วน “กำแพงวัด” สะท้อนถึงการกำหนดเขตศักดิ์สิทธิ์ เพื่อธำรงไว้ซึ่งความสงบเรียบร้อยและศรัทธาของสังคม

เมื่อมองจากมุมพุทธศาสนา กำแพงมิใช่เพียงโครงสร้างทางวัตถุ แต่ยังเปรียบเสมือน “กำแพงแห่งสติ” ที่ป้องกันกิเลสและสิ่งรบกวน ดังที่พระพุทธศาสนาสอนให้ตั้งสติเป็นเกราะกำบังจิตใจ ดังนั้น การวิเคราะห์เปรียบเทียบกำแพงในเชิงรัฐศาสตร์กับพุทธศาสตร์จะทำให้เข้าใจอานิสงส์เชิงกายภาพและเชิงจิตวิญญาณที่เกื้อกูลต่อกัน

1. กำแพงประเทศกับหลักพุทธธรรม
การสร้างกำแพงประเทศมุ่งเน้นการป้องกันภัยจากภายนอก แต่หากพิจารณาด้วยกรอบพุทธธรรม ย่อมสัมพันธ์กับหลักธรรมสำคัญ ได้แก่

อริยสัจ 4 : ภัยคุกคามและความไม่มั่นคงถือเป็น “ทุกข์” ต้นเหตุอยู่ที่ความโลภและการแสวงหาอำนาจ (สมุทัย) ส่วน “นิโรธ” คือความปรารถนาสันติสุขของรัฐ และ “มรรค” คือมาตรการบริหารจัดการ เช่น การสร้างกำแพงเพื่อคุ้มครอง แต่ต้องกระทำด้วยปัญญา มิใช่ด้วยความกลัวหรืออคติ

อปริหานิยธรรม : รัฐจะมั่นคงได้ด้วยความสามัคคีและการไม่สร้างความแตกแยก กำแพงประเทศที่สร้างเพื่อป้องกันภัยย่อมเป็นคุณ แต่หากใช้เพื่อแบ่งแยกหรือสร้างศัตรู จะกลายเป็นปัจจัยแห่งความเสื่อมถอย

มัชฌิมาปฏิปทา : การสร้างกำแพงต้องไม่สุดโต่งไปในทางปิดตายจนไร้ความร่วมมือ หรือเปิดโล่งเกินไปจนขาดการป้องกัน ทางสายกลางคือการคงไว้ซึ่งความมั่นคง ควบคู่กับการสร้างสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศ

2. กำแพงวัดกับหลักพุทธธรรม
กำแพงวัดมิได้เป็นเพียงโครงสร้างล้อมเขตสังฆาวาสหรือพุทธาวาส แต่ยังมีความหมายเชิงจิตวิญญาณ

ไตรสิกขา (ศีล สมาธิ ปัญญา) : กำแพงวัดทำหน้าที่กั้นสิ่งรบกวนเพื่อรักษาศีล เกื้อหนุนต่อการทำกิจกรรมที่สงบเอื้อต่อสมาธิ และเปิดพื้นที่ให้เกิดการเจริญปัญญา

สติปัฏฐาน : การมีเขตกั้นเสมือนการสร้าง “สติ” ป้องกันมิให้สิ่งยั่วยุภายนอกเข้ามาทำลายบรรยากาศแห่งธรรม

อานิสงส์ทางสังคม : กำแพงวัดมิใช่สิ่งกีดกัน แต่เป็นสัญลักษณ์แห่งการเชื้อเชิญ ผู้คนที่ก้าวผ่านกำแพงเข้าสู่เขตศักดิ์สิทธิ์จะได้ฝึกฝนความเคารพต่อขอบเขตทางศาสนา

3. การบูรณาการเชิงเปรียบเทียบ
เมื่อเปรียบเทียบทั้งสองบริบท จะพบความเชื่อมโยงดังนี้
กำแพงประเทศ : ป้องกันภัยทางกายภาพ รักษาอธิปไตย แต่ต้องมี “เมตตา–ปัญญา” เพื่อไม่ให้กลายเป็นการกีดกันหรือสร้างศัตรู
กำแพงวัด : ป้องกันภัยทางจิตวิญญาณ รักษาศรัทธา แต่ต้องอาศัย “กรุณา–อุเบกขา” เพื่อไม่ให้กลายเป็นความปิดกั้นหรือการยึดติดในรูปแบบ
ทั้งสองสะท้อนหลัก ขันติและสติ ที่ผู้นำควรมี ไม่ว่าจะเป็นผู้นำทางการเมืองหรือผู้นำทางศาสนา การสร้างกำแพงจึงไม่ควรมุ่งเพียง “รูปร่างภายนอก” หากแต่ขึ้นกับ เจตนารมณ์ หากสร้างเพื่อการคุ้มครองและประโยชน์สุขของส่วนรวม กำแพงจะก่อให้เกิดอานิสงส์ แต่หากสร้างด้วยความหวาดระแวงหรือการยึดติดในอำนาจ ก็จะกลายเป็นเหตุแห่งความทุกข์

4. นัยเชิงนโยบาย
ในระดับรัฐ : การสร้างกำแพงประเทศควรเดินคู่กับนโยบายทวิภาคีและพหุภาคี เพื่อสร้างความร่วมมือ ลดความขัดแย้ง และขยายความมั่นคงเชิงบวก
ในระดับชุมชน : การสร้างกำแพงวัดควรมาควบคู่กับการเปิดพื้นที่กิจกรรมสาธารณะ เพื่อให้วัดเป็นศูนย์รวมชุมชน มิใช่กำแพงแห่งการกีดกัน

ดังนั้น  กำแพงประเทศและกำแพงวัด แม้มีหน้าที่ต่างกัน แต่ต่างก็สะท้อนอานิสงส์แห่ง “การปกป้องและการกำหนดขอบเขต” กำแพงประเทศเน้นการป้องกันทางกายภาพและการเมือง ส่วนกำแพงวัดเน้นการป้องกันทางจิตวิญญาณและสังคม หากการสร้างทั้งสองประเภทตั้งอยู่บนหลักมัชฌิมาปฏิปทา อปริหานิยธรรม และไตรสิกขาแล้ว กำแพงจะไม่ใช่เครื่องมือแห่งการแบ่งแยก แต่จะกลายเป็น “กำแพงแห่งสติและปัญญา” ที่เกื้อกูลต่อความมั่นคงและสันติสุขทั้งทางโลกและทางธรรม
 

หน้าแรก » การเมือง