วันอังคาร ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2568 05:14 น.

การเมือง

"ภูมิธรรม" เผยผลประชุม สมช. เคาะแนวทางฟ้องร้องกัมพูชา ยันไม่เคยพูดถึงการยุบศูนย์ ศบ.ทก. 

วันจันทร์ ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2568, 19.18 น.

รองนายกฯ เผยผลประชุม สมช.  เคาะแนวทางฟ้องร้องกัมพูชาหลังใช้กำลังคุกคามอธิปไตยไทย ย้ำสถานการณ์ชายแดนยังต้องเฝ้าระวัง รอผลประชุม RBC–GBC    ชี้แจงชัด ไม่เคยพูดถึงการยุบศูนย์ ศบ.ทก.  

เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2568  นายภูมิธรรม เวชชยขัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยภายหลังการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ ว่า ขณะนี้สถานการณ์บริเวณชายแดนไทยกัมพูชายังต้องเฝ้าระวัง จึงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด  ส่วนเรื่องการเจรจาเขตแดนทั้งหลายยังไม่จบง่ายๆ และยังรอการประชุม ตามกรอบต่างๆ ซึ่งการประชุมRBC จะเกิดขึ้นในช่วงวันที่ 25 ถึง 27 สิงหาคมนี้  ขณะที่วันที่ 8 ถึง 10 กันยายนจะเป็นการประชุม GBC ที่เมืองเสียมราฐ  ประเทศกัมพูชา

ทั้งนี้ได้สั่งการให้หน่วยราชการติดตามข่าวสารและประสานงานกันอย่างมีเอกภาพโดยเฉพาะในเรื่องข่าวสารที่สร้างความสับสนและความเข้าใจผิดให้กับพี่น้องประชาชน พร้อมยอมรับว่าขณะนี้มีกระบวนการไอโอ จึงขอช่วยกัน อย่าตกเป็นเหยื่อของเรื่องนี้ พร้อมย้ำว่ารัฐบาลยึดผลประโยชน์ประเทศชาติอธิปไตยของประเทศทรัพย์สินและชีวิตของพี่น้องประชาชนเป็นที่ตั้งจึงขอความร่วมมือจากทุกฝ่าย

ขณะเดียวกันที่ประชุมยังมีการพิจารณาเรื่องการดำเนินคดีตามกฎหมาย กรณีกัมพูชาใช้กำลังทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์ในการคุกคามอธิปไตยของไทย ซึ่งเคยพูดไว้ว่ามีหลายส่วนที่กระทบกับชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนคนไทย ซึ่งจะมีการดำเนินการฟ้องร้องกัมพูชาและผู้นำ โดยฝ่ายกฎหมายได้พิจารณาแล้วโดยและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มอบหมายให้ กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 3  เป็นศูนย์รวมในการรับเรื่องราวร้องทุกข์จากพี่น้องประชาชน และหน่วยราชการต่างๆในการทำการร้องเรียนเพื่อส่งอัยการสูงสุด ทำเรื่องฟ้องซึ่งเป็นกรณีการกระทบต่อทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน   พร้อมย้ำว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่รัฐบาลคำนึงถึง และต้องทำเพราะหากไม่ทำ ก็จะโดนข้อกล่าวหามาตรา 157 ฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่  

นายภูมิธรรม ระบุว่า หลังจากนี้หลักยึดนี้ต่อไป และยีงต้องเฝ้าระวังให้มากขึ้น พร้อมดำเนินแผนเดิมต่อจนกว่าจะเจรจาตามกรอบจะมีทิศทางอย่างไร จึงจะมีการพิจารณาปรับเปลี่ยนแผนจนกว่าทุกอย่างจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ

ส่วน เหตุผลที่ใช้วิธีการฟ้องร้องภายในประเทศนั้น นายภูมิธรรม ระบุว่าเป็นสิ่งที่สามารถทำได้ได้เลย อย่างน้อยก็เป็นคดีที่มีชนักติดหลัง เข้ามาประเทศเมื่อไหร่ก็ดำเนินการจับกุม ส่วนจะฟ้องฮุน เซน หรือ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีนั้น ขอให้อัยการสูงสุดพิจารณา  ทั้งอาญาและแพ่ง หลังจากกองบัญชาการตำรวจภูธรภาคสามทำการสอบสวนแล้วอัยการสูงสุดจะเป็นผู้พิจารณา โดย ย้ำว่าการดำเนินคดี ยึดหลักว่าเป็นเหตุการณ์ที่กระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน พร้อมทั้งทรัพย์สินทางราชการ ซึ่งการดำเนินการนี้เป็นสิ่งที่ทำได้เลย  เพราะ เราไม่รับขอบเขตอำนาจศาลโลกจึงยังไม่ไปถึงตรงนั้น 

เมื่อถามว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีการสืบเส้นทางการเงินและเครือข่ายนักการเมืองของ สมเด็จฮุน เซน ในไทย นายภูมิธรรม ระบุว่า ต้องพิจารณาตามความเหมาะสมหากจะทำจริงก็พูดไม่ได้  เพราะเป็นเรื่องที่ไม่ควรนำเอามาพูด เป็นเรื่องราชการและกระบวนการยุติธรรม   

และเมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงความชัดเจนต่อกรณีการยุบศูนย์ เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) โดยนายภูมิธรรม ตอบกลับทันที ว่า ยังไม่เคยพูดสักครั้งว่าจะยุบ 

 
 

หน้าแรก » การเมือง