"อนุทิน" ถก สมช. เคาะแผนชายแดนไทย–กัมพูชา หลัง ผบ.เหล่าทัพไฟเขียวใช้ "กฎอัยการศึก"  ร่วมกฎหมายปกติ ขณะ "สีหศักดิ์"  ย้ำจุดยืนไทย 4 ข้อ เคารพอธิปไตย–มุ่งสันติภาพ หลัง "ทรัมป์"  เสนอตัวเป็นคนกลางไกล่เกลี่ย 

เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2568 ที่ห้องวิจิตรวาทการ ชั้น 3 สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ ครั้งที่ 13/2568 โดยมีนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พลตำรวจโทรุทธพล เนาวรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พลโทอดุลย์ บุญธรรมเจริญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และผู้แทนหน่วยงานด้านความมั่นคง เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง

นายกรัฐมนตรีเปิดเผยสั้น ๆ ก่อนเข้าประชุมว่า จะขอดูรายละเอียดแผนที่กองทัพบกเสนอมาก่อน โดยยังไม่ยืนยันว่าจะเป็นผู้แถลงข่าวด้วยตนเองหรือไม่

ด้านพลตำรวจโทรุทธพล กล่าวว่า  ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ ต้องรอดูในระเบียบวาระก่อน ส่วนกระทรวงยุติธรรมไม่มีแผนเสนอใด ๆ ในวันนี้ และยืนยันว่าจะพิจารณาตามแผนที่กองทัพบกนำเสนอเป็นหลัก

“สีหศักดิ์” ย้ำจุดยืนไทย 4 ข้อ หลัง “โดนัลด์ ทรัมป์” เสนอตัวเป็นคนกลาง 

 นายสีหศักดิ์  กล่าวถึงกรณีที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ทำหนังสือถึงนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี แสดงความประสงค์จะช่วยเป็นตัวกลางในการเจรจาแก้ไขสถานการณ์ระหว่างไทย–กัมพูชา

นายสีหศักดิ์ระบุว่า ไทยยินดีต่อความปรารถนาดีของสหรัฐฯ และได้ย้ำแนวทางจุดยืนของไทย 4 ข้อ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ โดยเน้นให้ทุกฝ่ายมุ่งสู่สันติภาพและเคารพอธิปไตยของกันและกัน พร้อมระบุว่าได้สื่อสารไปยังฝ่ายสหรัฐฯ แล้วว่า ไทยให้ความสำคัญกับประเด็นใดบ้าง และหวังว่าจะเห็นความคืบหน้าในทางบวก

ทั้งนี้ ในช่วงบ่าย นายสีหศักดิ์มีกำหนดหารือกับภาคเอกชนไทยที่ลงทุนอยู่ในกัมพูชา เพื่อรับฟังสถานการณ์และแนวทางความร่วมมือทางเศรษฐกิจในพื้นที่ชายแดน

ขณะเดียวกัน พลโทวรยส เหลืองสุวรรณ แม่ทัพภาคที่ 1 ได้ลงพื้นที่บ้านหนองจาน–หนองหญ้าแก้ว เพื่อติดตามสถานการณ์จริงและตรวจสอบการเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่

สำหรับการประชุม สมช. ครั้งนี้ มีวาระสำคัญในการติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา โดยเฉพาะพื้นที่บ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้ว จังหวัดสระแก้ว ซึ่งก่อนหน้านี้ที่ประชุม สมช. ได้มอบหมายให้กองทัพไทยศึกษาข้อกฎหมายในการบริหารจัดการสถานการณ์ดังกล่าว จนล่าสุดผู้บัญชาการเหล่าทัพมีมติเห็นชอบให้ใช้ “กฎอัยการศึกควบคู่กับกฎหมายปกติ” เพื่อรองรับการปฏิบัติในพื้นที่ พร้อมมอบหมายให้ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบกจัดทำแผนให้สอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศและหลักสิทธิมนุษยชน ก่อนเสนอ สมช. เพื่ออนุมัติในวันนี้