วันเสาร์ ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2567 03:28 น.

ภูมิภาค

ชาวบ้านกว่า 50 คนบุกโรงพัก ทวงถามคดีโกงไม่คืบ!

วันพฤหัสบดี ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2565, 18.25 น.

ชาวบ้านกว่า 50 คน บุกทวงถามเรื่องคดีฉ้อโกงที่มีมูลค่ากว่า 200 บาท หลังชาวบ้านแจ้งความไว้นานแล้ว แต่คดีไม่คืบ ไม่มีการนำตัวผู้ต้องหามาสอบสวนไม่มีการออกหมายเรียกหมายจับใด ๆ ทั้งสิ้น ชาวบ้านสุดทน ขอเปลี่ยนตัวพนักงานสอบสวนทั้งชุด ผู้กำกับแอ่นอกรับต่อไปจะลงมาดูแลคดีเอง พร้อมนำพนักงานสอบสวนมาจำนวนกว่า 10 นาย มาตั้งโต๊ะสอบปากคำชาวบ้านอีกรอบ   

 

 

เมื่อเวลา 14.00 น.วันนี้19 พ.ค.2565 ที่ สภ.เมืองขอนแก่น ได้มีชาวบ้านจากจังหวัดขอนแก่น จ.ชัยภูมิ และกรุงเทพมหานคร จำนวนกว่า 50 คนที่ได้รับความเสียหายจากการที่ถูกบริษัท สมาร์ทพลัส จำกัด จ.ขอนแก่น ฉ้อโกง รวมมูลค่าความเสียหายรวมกันมีมูลค่ามากกว่า 200 ล้านบาท มาทวงถามความคืบหน้าของคดี ที่ชาวบ้านกลุ่มนี้ได้เคยเดินทางมาแจ้งความไว้แล้วเมื่อวันที่ 27 มกราคม ที่ผ่านมา แต่ไม่มีความคืบหน้าของคดี ทำให้บริษัทดังกล่าวก็ยังหลอกลวงประชาชนให้มาร่วมลงทุนได้อยู่ตลอดไป สร้างความเสียหายให้กับประชาชนและความเดือดร้อนเป้นอย่างมาก หลายคนต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาร่วมลงทุน จนสิ้นเนื้อประดาตัวไปตามๆ กัน
  

โดยหลังจากชาวบ้านมาถึง สภ.เมืองขอนแก่น พ.ต.อ.ปรีชา  เก่งสาริกิจ ผกก.สภ.เมืองขอนแก่น และ พ.ต.ท.สุพรรณ สุขพิไลกุล รอง ผกก.สอบสวน ได้ออกมาต้อนรับและเชิญชาวบ้านไปพูดคุยและทำความข้าใจกันในห้องประชุม โดยชาวบ้านสามารถเข้าไปในห้องประชุมได้จำนวนหนึ่ง และอีกจำนวนหนึ่งรออยู่ด้านนอกห้องประชุม โดยชาวบ้านได้ทวงถามถึงเหตุผลที่ทางตำรวจไม่ดำเนินคดีให้

 


  

จากนั้น พ.ต.อ.ปรีชา  เก่งสาริกิจ ผกก.สภ.เมืองขอนแก่น ได้ชี้แจงไปว่า น่าจะเป็นเรื่องที่สื่อสารกันผิดพลาดและทาง จนท.ตำรวจซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนที่ทำการรับเรื่องไว้นั้นก็เข้าใจผิดว่าเจ้าทุกข์ที่มาแจ้งความก็อยู่ต่างจังหวัดเช่นที่ชัยภูมิ และกรุงเทพมหานคร ความเสียหายก็น่าจะเกิดขึ้นจังหวัดของแต่ละคน ก็น่าจะจะแจ้งความในพื้นที่ของตนเองตามภูมิลำเนา พนักงานสอบสวนจึงไม่ได้ดำเนินคดีให้ ประกอบกับพนักงานสอบสวนที่รับเรื่องไว้ก็เพิ่งจบใหม่ จึงเข้าใจผิด จากนั้น นายไตรรัตน์  ผลศิริวัจน์ ทนายความที่ร่อมเดินทางมาด้วย ได้ชี้แจงกับ ผกก.ว่า เนื่องจากบริษัท ดังกล่าวมีที่ตั้งอยู่ในตัวเมืองขอนแก่น และชาวบ้านที่มาร้องทุกข์ก็ได้ทำโอนเงินอยู่ที่จังหวัดขอนแก่น ชาวบ้านจึงได้มาแจ้งความกับ จนท.ตำรวจใน พท.เกิดเหตุ พร้อมกันนี้ ทนายความก็ได้เสนอในที่ประชุมว่าตนขอเปลี่ยนตัวพนักงานสอบสวนที่ชุด ตั้งแต่ ตัว พ.ต.ท.สุพรรณ สุขพิไลกุล รอง ผกก.สอบสวน ที่กำกับดูแลคดี ลงมาจนถึงพนักงานสอบสวนทั้งหมด
  

หลังจากนั้น พ.ต.อ.ปรีชา  เก่งสาริกิจ ผกก.สภ.เมืองขอนแก่น ได้ชี้แจงว่าถ้าจะเปลี่ยนตัว พนักงานสอบสวนทั้งหมดคงไม่สามารถทำได้ เพราะทาง สภ.เมือง มีพนักงานสอบสวนไม่เพียงพอ จึงขอเป็นว่าในฐานะที่ตนเองเป็น ผกก.ตนจะขอดูแลคดีนี้เอง ขอเอาเกียรติเป็นประกัน หากต่อไปคดีไม่มีความคืบหน้า หรือข้องใจสงสัยอะไร ขอให้โทรมาสอบถามตนเองได้ตามเบอร์โทรที่ให้ไว้ ซึ่งจากนี้ไปตนจะเร่งทำการสอบสวน และทำการออกหมายจับ โดยเร็ว ซึ่งก็ทำให้ชาวบ้านที่มาทวงถามพอใจเป้นอย่างมากที่ ผกก.ลงมาดูแลและรับผิดชอบคดีด้วยตัวเอง

 


 โดยทาง ผกก.ได้สั่งให้พนักงานสอบสวน จำนวนกว่า 10 นายนำคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค และเครื่องปริ้น ขึ้นไปบนห้องประชุมเพื่อทำการสอบปากคำชาวบ้านเพิ่มเติมอีกรอบ เพื่อให้คดีมีความคืบหน้าโดยเร็ว โดยมีความชาวบ้านสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้าให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน จนครบทุกคนที่เดินทางมาในวันนี้
  

สำหรับพฤติกรรมการหลอกลวงทำการฉ้อโกงของบริษัท สมาร์ทพลัส จำกัด แห่งนี้ นาย วรพล จำปาภา เป็นชาวกรุงเทพมหานคร ได้ให้สัมภาษณ์ ผสข.ว่าตนเองเป็นผู้เสียหายโดนโดนโกงทั้งครอบครัว มีตนเอง ภรรยา และลูกสาว โดยโกงไป 12 ล้านบาท สำหรับพฤติกรรมของบริษัทนี้ จะหลอกให้ซื้อสินค้าด้วย คือเมื่อประมาณเดือนสิงหาคม 2564 ได้รับการชักชวนจากคนใกล้ชิดว่ามีบริษัทแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ในจังหวัดขอนแก่น ชักชวนให้ร่วมลงทุนผ่านการซื้อสินค้าในจำนวน 1 ชุด ราคา 1,200 บาท แล้วจะได้ผลตอบแทนเป็นเงินจำนวน 1,500 บาท เท่ากับได้กำไร 300 บาท ภายในเวลา 7 วัน จึงตัดสินใจลงทุนงวดแรกเป็นเงิน 12,000 บาท หรือเท่ากับ 10 ชุด โดยเลือกสินค้าเป็นกาแฟสำเร็จรูป เมื่อครบกำหนด 7 วันก็ได้ผลตอบแทนเป็นเงิน 15,000 บาท เมื่อเห็นว่าได้ผลตอบแทนจริงจึงมีการชักชวนคนในครอบครัวและเพื่อนสนิทมาร่วมลงทุน
  

ยอมรับว่าใน 3 งวดแรกได้เงินและผลตอบแทนจริงตามที่ตกลง แต่พอเข้าถึงสัปดาห์ที่ 4 กลับไม่ได้รับเงินตอบแทนพยายามติดต่อไปยังบริษัทก็บ่ายเบี่ยงไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจน อ้างว่าอยู่ในช่วงพัฒนาแอปพลิเคชัน สุดท้ายบุกไปทวงถามยังบริษัทก็ไม่มีคำตอบและเงินปันผลคืนสมาชิก จึงเชื่อว่าถูกหลอก เฉพาะตนเองและคนในครอบครัวสูญเงินไปกว่า 12 ล้านบาท ดังกล่าว.

หน้าแรก » ภูมิภาค